วันอาทิตย์, ตุลาคม ๒๒, ๒๕๔๙

โรคหัวใจ กับผู้ป่วย HIV

โรคภูมิคุ้นกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ ระบาดมาในโลกนี้กว่า 20 ปีแล้ว ผลจากโรคนี้ ทำให้เราได้พบเห็นผู้ป่วยเอดส์เป็นจำนวนมาก แทบทุกรายมีการติดเชื้อแปลกๆ มี มะเร็งเกิดขึ้นได้บ่อย ทั้งผิวหนัง หลอดเลือด ต่อมน้ำเหลือง และสมอง ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยโรคเอดส์เหล่านี้ ส่วนหนึ่ง มีความผิดปกติทางหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วย แม้ว่าส่วนมากอาจจะไม่แสดงอาการชัดเจน โรคหัวใจในผู้ป่วยเอดส์นี้ พบได้แทบ ทุกส่วนของหัวใจ ตั้งแต่ภายนอก คือ เยื่อหุ้มหัวใจ ไปจนถึง ลิ้นหัวใจ

เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นความผิดปกติที่พบมากที่สุด ประมาณ ร้อยละ 10-40 ของ ผู้ป่วยเอดส์จะมีเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและมีสารน้ำอยู่ในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ แต่มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่มีสารน้ำมากจนเกิดปัญหาหัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยเหล่านี้อาจไม่มีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการคล้ายกับเยื่อหุ้มหัวใจอัดเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ มีเพียงขนาดหัวใจโตขึ้นจากการถ่ายเอกซเรย์เท่านั้น ผู้ป่วยเอดส์ที่มีสารน้ำในช่องเยื่อ หุ้มหัวใจนี้เป็นดัชนีบ่งชี้ความรุนแรงของโรค และการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี

กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 10-40 เช่นกัน ความสามารถในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ซึ่งอาจเกิดจาก กล้ามเนื้อ หัวใจอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน (อาจเกิดจากไวรัสตัวอื่น เชื้อรา แอลกอฮอล์ โคเคน ยาต่างๆ) แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอาการรุนแรง ยกเว้นบางรายมีอาการของหัวใจ ล้มเหลว คือ หอบ เหนื่อย บวม

ความดันในปอดสูง สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นตัวการที่ทำให้ความดันใน ปอดสูงมาก ผลที่ตามมาคือ เลือดไปเลี้ยงปอดไม่ได้ดี ขาดออกซิเจน เหนื่อย และ เขียว พบได้ประมาณร้อยละ 0.5 ของผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งน้อยมาก แต่เป็นแล้วไม่ดีเลย มีโอกาสมี ชีวิตอยู่ได้น้อยกว่า 1 ปี ผมเคยเห็นผู้ป่วยเช่นนี้ 1 ราย และสุดท้ายไม่นานก็เสียชีวิต

เนื้องอกหัวใจ โดยเป็นเนื้องอกจากเซลต้นกำเนิดต่างๆกัน แต่ไปพบที่หัวใจ เช่น เนื้องอกจากต่อมน้ำเหลือง หรือ มะเร็ง Kaposi เป็นต้น

ลิ้นหัวใจอักเสบและลิ้นหัวใจรั่ว ทั้งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และ ไม่มีการ ติดเชื้อ โอกาสเกิดอัมพาตจากลิ้นหัวใจมีมากขึ้น

วันเสาร์, ตุลาคม ๒๑, ๒๕๔๙

ชาเขียว ช่วย สู้HIV

เพื่อนคงรู้จัก ชาเชียวใช่ไหมครับ แหมเมืองไทยนี้เรียกว่าช่วงหนึ่งเป็นโรค ชาเขียวlism กันเลยทีเดียววันนี้ก็เลยเอาการวิจัยเกี่ยวกับชาเขียวมาฝาก

จริงๆแล้วการวิจัยเรื่องคุณสมบัติของชาเขียวกับการต้านการแพร่เชื้อ HIV เนี่ยได้ทำการศึกษามานานแล้วว่ามันมีคุณสมบัติไปยับยั้ง enzyme reverse transcriptase ซึ่งเป็น enzyme ในการสร้างสายพันธุกรรมของไวรัส HIV แต่เมื่อปี 2003 นักวิจัยญี่ปุ่น ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว ทำวิจัยเรื่องนี้อีกครั้งและพบว่ามีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Epigallocatechin Gallate (EGCG) มันไปขัดขวางกระบวนการรวมตัวของโปรตีนที่ชื่อว่า gp 120 ของ ไวรัส HIV กับ CD4 และก็ T-Cells ของเราซึ่งเจ้าสองตัวนี้เปรียบเสมือนทหารที่คอยต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมของเรา เพราะฉนั้นการไปขัดขวางการรวมตัวนี้มีผลทำให้ไวรัสไม่สามารถทำลายภูมิคุ้มกันเราลงไปได้
อ่านเพิ่มเติม »

กำลังใจ

หากท่านไม่อาจหลับใหลในยามราตรีนี้
ใคร่ควรวญให้ดียังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน

ไม่ต้องรันทด หากท่านอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้
เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ

หากวันนี้มีงานที่กวนใจท่านมาก คิดเสียว่า
ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานมานานสามเดือนแล้ว

ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง อย่าเพิ่งปลง
เพราะยังดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักรัก

อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านพ้น
จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำไม่มีวันพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ

แม้ต้องเดินทางเสียไกลลิบ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย
ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตที่อยากอาสาเดินแทน

หากส่องกระจกพบหงอกเพิ่มมาอีกเส้น
ยังดีกว่าเป็นผู้ป่วยเคมีบำบัด ที่หวังเพียงว่าผมจะงอกได้อีก

ยามโชคร้ายแทบหมออาลัยตายอยาก จงดีใจเถิด
เพราะยังประเสริฐกว่าผู้ที่ตายไปก่อนจะมีโอกาสใด

หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่ จะแย่กว่าเป็นไหนไหน ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง

วันอังคาร, ตุลาคม ๑๗, ๒๕๔๙

Power HIV


มีใครบ้างที่ไม่โดยหาชีวิต มีใครบ้างที่ไม่กลัวความตาย มีใครบ้างที่อยากจะเป็นโรคร้าย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นใช่ เพราะ ความประสงค์ แต่ ชะตาฟ้าลิขิต ให้เราต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับโรค ติดเชื้อ hiv ทางเดียวที่เราจะทำได้ คือ ยอมรับความเป็นจริง และใช้ชีวิตให้ถูกหลัก ผู้ติดเชื้อ พวกเราก็สามารถมีชีวิตที่ดีและปลอดภัยได้ ด่านแรกที่จะต้องทำ คือ ความเข้าใจ ในโรคเอดส์ ทำความเข้าใจกับคำๆนี้ให้ถ่องแท้ แล้ว เราจะมองเห็นเส้นทางที่เราควรเดินต่อไป
****อย่าท้อถอยกับโชคชะตาตัวเอง แม้เราจะติดเชื้อเราก็สามารถทำทุกอย่างให้ดีได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ HIV
*****แนวทางที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้ติดเชื้อที่มีสุขภาพดีมีมากมาย ถ้าเรายึดความไม่ประมาทเป็นสำคัญ.....ยึดสุขภาพที่เเข็งเเรงเป็นเเนวทาง......ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจอย่างไร...เราต้องค้นหา
*****เป็นเอดส์หรือ ไม่ ไม่ได้เป็นตัวตัดสิน ความสุขในชีวิต หลายคนที่ไม่ได้ติดเชื้อ HIV เขาก็ไม่มีความสุขในชีวิตก็หลายคน.......ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจมันอยู่ที่มุมมองชีวิตที่เราเลือกมอง
******จุดจบคนเรา ก็อยู่ในทิศทางเดียวกันหมด ไม่ว่าจะติดเชื้อหรือไม่ ทุกคนหนี คำว่า ตายไปไม่ได้ แต่ ก่อน คำว่าตาย ตัวเรา ทำประโยชน์อะไร คืนกลับให้ครอบครัว และ สังคมบ้าง
******ถ้าคิดว่า ติดเชื้อ hiv แล้ว ทำให้คุณค่าของชีวิต จบสิ้นลง นั้นเป็นความคิดที่ผิด และเป็นความคิดที่ไร้ค่า...... คำว่า hiv มันอาศัยอยู่เฉพาะในกระเเสเลือดเรา...และเราก็ควบคุมมันได้...........คุณค่าของชีวิตเรา มีอีกมายมายที่คำว่าเอดส์ ไม่สามารถมาปิดกั้นได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันมาบดบังอนาคตเรา
****** การที่เรา อยากให้สังคม ยอมรับในตัวเรา เราก็จะพยายามวิ่งหนีคำว่าเอดส์.....แต่เคยคิดไหมว่า.........สังคมยอมรับในตัวเราที่ความดี ที่ผลงาน.....แม้คุณจะเป็นผู้ติดเชื้อ คุณก็สามารถแสดงให้สังคมรู้ได้ว่า.....คุณมีผลงานอะไรให้สังคมยอมรับในตัวคุณ
******โรคแทรกซ้อน ไม่เกิดกับใคร จะไม่เข้าใจความรู้สึกทรมานและเจ็บปวด.....แต่เมื่อคุณได้สัมผัส ได้รับรู้ความทุกข์ทรมาน และ พยายามฟันฝ่าต่อสู้เพื่อจะรักษาชีวิตให้ได้ คุณจะรู้สึกว่า เมื่อ คุณ หลุดพ้นมาได้ ภุมิคุ้มกันในความรู้สึกคุณจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ........และคุณจะมีพลังในการใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า............แม้เจอเหตุการณ์ที่หนักปานไหน ....คุณก็สามารถเอาตัวรอดด้วยความอดทนได้ดี
*******ความรัก ไม่มีพรหมแดน จำไว้ว่า ถ้าคุณเจอคนที่รักคุณ จริงๆ คำว่าเอดส์ ไม่สามารถมา ปิดกั้นความรักคุณได้.......คนๆนั้นเขาพร้อมจะดูเเลคุณและยืนเคียงข้างไปกับคุณตลอดไป...........นั่นคือรักจริง.....ที่เราควรบูชา
*******เราจะรอให้ใครเดินเข้ามาเข้าใจชีวิต hiv อย่างพวกเราหรอ ถ้าเรา ไม่แสดงให้คนรอบข้างเห็น ว่าเราอยู่ได้เรามีประโยชน์อะไร.........


********ถ้าคุณจะคอย นอนรอ เป็น คนไข้ คุณ ก็จะเป็นคนไข้ในสายตาคนทุกคน...............รุกขึ้นมาฟื้นฟูและบำบัดตัวเอง ให้หลุดพ้นจากคำว่า คนไข้ ทำให้คนรอบข้างเข้าใจในตัวคุณว่าคุณก็ปรกติได้เช่นกัน

/////////////สุดท้าย.........ขั้วบวกยังต้องมีขั้วลบ กลางวันยังต้องมีกลางคืน คำว่าถูกยังคู่กับคำว่า ผิด แล้ว คำว่ารักษาไม่หาดขาด ก็จำเป็นที่จะต้องควบคู่ไปกับคำว่า***รักษาหายขาดแน่นอน**** รอหน่อยนะ.




Technorati : , , ,

วันจันทร์, ตุลาคม ๑๖, ๒๕๔๙

็Information HIV Test From Kaewdiary.com

การตรวจวินิจฉัยหาภูมิต่อเชื้อ HIV สามารถทำได้หลายวิธี การตรวจที่ให้ผลเร็วสามารถตรวจจากเลือด น้ำลาย และปัสสาวะ ก่อนการตรวจเลือดผู้ป่วยควรได้รับการปรึกษาถึงผลดีและผลเสียของการตรวจรวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจ เช่น ความรู้สึกกลัวหรือซึมเศร้า ปัญหาทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น ปัญหาการจ้างงาน ปัญหาการประกันชีวิต ปัญหาการยอมรับของครอบครัว เป็นต้นแต่การตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV มักจะปิดชื่อของผู้รับการตรวจทำให้ปัญหาต่างลดลง

การตรวจ HIV สามารถทำได้หลายวิธีโดยมีความแม่นยำ และราคาต่างๆกัน

การครวจเลือดที่ให้ผลเร็วโดยใช้วิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) วิธีนี้ให้ผลเร็วมีความไวและมีความแม่นยำในการตรวมีความแม่นยำ(sensitivity and specificity of) 99.9%.หากให้ผลบวกต้องยืนยันการวินิจฉัยโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจวิธีนี้มีข้อควรระวังคือหลังจากได้รับเชื้อจะมีช่วงหนึ่งที่ตรวจเลือดยังไม่พบภูมิต่อเชื้อ HIV เราเรียกช่วงนี้ว่า window period ถ้าหากคนผู้นั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ร่วมเพศโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เราต้องรออีก 6 เดือนเพื่อเจาะเลือดอีกครั้ง ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวังคือเมื่อตรวจด้วยวิธี ELISA ให้ผลบวกแต่ผลการตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assay ให้ผลบวกหนึ่งแบนกรณีนี้อาจจะเกิดจาก window period, หรือติดเชื้อด้วยเชื้อ hiv อีกชนิดหนึ่ง เช่น HIV-2 หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น นอกจากนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine ก็อาจจะให้ผลบวกหลอก การตรวจเลือดหาภูมิหากผลเลือดบวกโดยที่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องทดสอบซ้ำอีกครั้ง

การตรวจปัสสาวะและเยื่อเมือกในปาก มีความแม่นยำและจำเพาะ 99.5 %หากให้ผลบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจเลือดด้วยตัวเอง วิธีการหยดเลือดไว้บนกระดาษแล้วส่งเข้าห้องปฏิบัติการ สามารถรายผลทางโทรศัพท์ มีจำหน่ายตามร้านขายยาแต่มีข้อที่ต้องระวังคือ
ไม่มีการให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ถ้าผลเลือดบวกผู้ป่วยควรจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวผู้ป่วยบางคนอาจจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองทั้งที่โรคนี้สามารถควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามได้ ถ้าผลเลือดลบควรจะได้รับคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ HIV
การทดสอบนี้อาจจะให้ผลบวกหลอกในผู้ป่วยบางรายเพราะไม่ได้มีการคักกรองกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจ
การตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยวิธี HIV RNA (viral load assay) จะตรวจกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นถูกเข็มฉีดยาจากผู้ป่วยตำ หรือร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้อโดยที่ไม่ได้ป้องกัน และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันในเลือด การตรวจนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้น แต่ก็มีข้อผิดพลาดกรณีที่พบเชื้อปริมาณน้อย การตรวจเลือดวิธีนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้นเราเรียกการติดเชื้อชนิดนี้ว่า Primary HIV infection ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในการให้ยาต้านไวรัส HIV

ประโยชน์ที่ผู้ที่ได้รับการตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV แบ่งได้เป็น

1.ผลเลือดบวกคือได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วยจะได้รับการประเมิน การวางแผนการรักษา การรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV รวมทั้งการติดเชื้อฉวยโอกาส
มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำรงชีวิตเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การงดบุหรี่ การอดแอลกอฮอร์ อาหาร
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อลดการติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช่นการมีเพศสัมพันธ์ การฉีดยาเข้าเส้น
ลดความวิตกกังวล
ลดการติดเชื้อจากแม่ไปลูก

2.ผลเลือดให้ผลลบคือไม่ได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ที่ได้รับการตรวจก็จะสบายใจไม่ต้องวิตกกังวล
ได้รับคำแนะนำการป้องกันการติดเชื้อ HIV
ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์

ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่ไม่มีอาการ

อาการเนื่องจากการติดเชื้อ HIV มีได้หลายอย่างรูปแบบตั้งแต่ไม่มีอาการจนกระทั่งมีอาการอย่างอ่อนจนกระทั่งเป็นเอดส์เต็มขั้น และยาต้านไวรัสเอดส์ก็สามารถยับยังการเจริญเติบโตของเชื้อและป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส และลดอัตราการตายจากโรคแทรกซ้อน แต่การที่จะลดโรคแทรกซ้อนจะต้องตรวจวินิจฉัยให้เร็ว ผู้ป่วยทราบว่าตัวเองอยู่ในระยะไหนของโรค การค้นพบว่าติดเชื้อ HIV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรักษาหลายอย่าง เช่น

เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 200 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Pneumocystis carinii
เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 50 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Mycobacterium avium complex (MAC)
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และมีผลบวกต่อเชื้อซิฟิลิส Syphilis จะต้องเจาะหลังตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อดูว่าเชื้อซิฟิลิสเข้าสมองหรือไม่
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV เมื่อทดสอบผิวหนังต่อเชื้อวัณโรคถ้าหากให้ผลมากกว่า 5 mm(คนปกติต้องมากกว่า 10 mm)จะต้องให้ยาป้องกันวัณโรค
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ทุกคนควรได้วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไวรัสตับอักเสบ บี

ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ

ผู้ที่มีอาการมักจะมีภูมิคุ้มกันบางส่วนถูกทำลาย การรักษาโรคบางอย่างอาจจะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานขึ้นเช่น

ผู้ที่เป็นปอดบวม ไซนัสอักเสบ ท้องร่วงจากไข้ไทฟอยด์ จะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานกว่าปกติ
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองต้องให้ยากดภูมิน้อยกว่าคนปกติ

การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น

ก่อนการรักษาแพทย์จะตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นเป็นการตรวจเพื่อประเมินระยะของโรคโรคประจำตัว โรคแทรกซ้อน เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งจะตรวจสิ่งต่อไปนี้

-การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อ HIV
-การตรวจหาภูมิ(HIV antibody test) ถ้าผู้ป่วยไม่เคยตรวจมาก่อน
-การตรวจหาเซลล์(CD4+ T-cell count): เพื่อจัดความรุนแรงของโรคHIV disease. จำนวนเซลล์ CD4 และ T lymphocytes จะช่วยในการจัดความรุนแรงของโรค
-การตรวจหาปริมาณเชื้อ(Serum HIV RNA (viral load):) เพื่อบอกพยากรณ์ของโรค, เพื่อประเมินว่าต้องรักษารีบด่วนหรือไม่
-การตรวจทางโลหิต
-การตรวจเลือดทั่วไป(Complete blood count, differential CBC) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-เกร็ดเลือด(Platelets) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางเคมี
-การตรวจน้ำตาล(Blood glucose) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไตและเกลือแร่(Electrolytes/BUN/creatinine) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐานและทราบการทำงานของไต
-การตรวจการทำงานของตับ กระดูก(ALT, AST, bilirubin:Albumin Alkaline phosphatase:) เป็นการตรวจตับและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไขมัน(Triglycerides, cholesterol) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจปัสสาวะ(Urine analysis) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางชีวะวิทยา
-โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STD cultures, gastrointestinal pathogens) หากมีข้อบ่งชี้
-การตรวจหามะเร็ง
-การตรวจมะเร็งปากมดลูก(Pap smear) สำหรับผู้หญิง
-การตรวจทางภูมิคุ้มกัน Toxoplasma IgG, Syphilis nontreponemal serology (VDRL or RPR), CMV IgG, hepatitis B surface antigen, hepatitis B, C IgG antibody
-การตรวจทางรังสี(RADIOLOGY)
-การตรวจ X-ray(Chest radiograph) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจสมรรถภาพปอด(PULMONARY FUNCTION STUDIES) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(ELECTROCARDIAGRAM) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจอื่นๆ(SCREENS FOR SPECIFIC DISEASES)
Cytomegalovirus (CMV)-- CMV IgG: consider if CMV-negative blood is available, in population with < 75% prevalence of CMV. If CMV negative, and transfusion becomes necessary, use CMV-negative blood products.
-ไวรัสตับอักเสบ บี(Hepatitis B -- antibodies, surface antigen) เพื่อให้วัคซีน การป้องกันการติดต่อ
-ไวรัสตับอักเสบ ซีHepatitis C -- antibody: ป้องกันการติดต่อเป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-ซิฟิลิส(Syphilis nontreponemal test) (RPR or VDRL): ถ้าหาก vdrl ให้ผลบวกต้องตรว FTA หรือ TPHA
-โรคหนองใน(Neisseria gonorrhea) เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Chlamydia: เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Toxoplasmosis -- toxo IgG: If negative, a solitary CNS lesion is unlikely to be toxoplasmosis
-วัณโรค(Tuberculosis) ถ้าการตรวจทางผิวหนังให้ผลบวกมากกว่า 5 มม.ต้อง x-ray )ปอด ตรวจเสมหะ เพาะเชื้อหาวัณโรค

จาก siamhealth

วันเสาร์, ตุลาคม ๑๔, ๒๕๔๙

Shakira Speaks

วันพุธ, ตุลาคม ๑๑, ๒๕๔๙

ไทยประสบความสำเร็จ

ไทยประสบความสำเร็จในการต้านโรคเอดส์
ธนาคารโลกชื่นชมประเทศไทยครับ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ปีนี้มีการจัดการประชุมเอดส์โลก ครั้งที่ 16 ที่กรุงโตโกลโต ประเทศแคนาดา ปรากฏว่ามีรายงานประจำปีของธนาคารโลก เขาชื่นชมประเทศไทยถึงความสำเร็จในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ซึ่งอันนี้ต้องขอขอบคุณประชาชนที่ร่วมมือในการป้องกันกันอย่างดี ภาครัฐ และองค์กร NGO ทั้งหลายก็มาช่วยกันอย่างเต็มที่ อันนี้ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายจริง คงไม่ใช่เป็นเครดิตของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวนะครับ เป็นข้าราชการ, NGO, องค์กร, ประชาชน, ชุมชนเข้มแข็งทั้งหลาย พระก็มาช่วยกัน ในอดีตเราเป็นผู้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์มากประเทศหนึ่งในโลก แต่ปัจจุบันความมุ่งมั่นที่เราจริงจังมาตลอด ก็เป็นผลที่ออกมา นอกจากนั้นในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว รัฐบาลได้นำเอาโครงการเข้าถึงบริการยาต้านโรคเอดส์ระดับชาติ มาใช้และประสบผลสำเร็จจนได้รับคำชมเชยอย่างมากนะครับ โครงการดังกล่าวได้ให้บริการยาผู้ป่วยกว่า 80,000 คน หรือมากกว่า 90% ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งเขาถือว่าดีมาก และมีรายงานจาก มิสเตอร์ มีสโอเว่อร์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก และบรรณาธิการร่วม ผู้เขียนบทความได้กล่าวว่า 1 เหรียญสหรัฐของงบประมาณที่รัฐบาลไทยนำไปใช้ในมาตรการป้องกัน สามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยได้ถึง 43 เหรียญสหรัฐ การรณรงค์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสามารถลดค่าใช้จ่ายถึง 18,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็คือ ในอีก 6 ปีข้างหน้าจะลดค่าใช้จ่ายไปประมาณ 700,000 ล้านบาท เพราะเนื่องจากว่าเราทำได้มีประสิทธิภาพนะครับ ทางธนาคารโลกก็เลยอยากให้ประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งประสบปัญหาในระยะแรกเช่น อินเดีย และจีน นำแนวทางของประเทศไทยไปปฏิบัติ อันนี้ก็น่าชื่นใจและขอขอบคุณทุกฝ่ายนะครับ

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม ๐๕, ๒๕๔๙

Parotid And Bufotoxin

สธ.ชี้ คางคก ไม่มีสรรพคุณรักษาเอดส์ กินแล้วอาจถึงตายได้ เพราะเต็มไปด้วยพิษ

กระทรวงสาธารณสุข ชี้ไม่ควรรับประทานคางคกต้ม อาจถึงตายได้ เนื่องจากคางคกมีสารพิษทั้งที่อยู่ในต่อมเหนือตา ที่ผิวหนัง เลือด เครื่องใน และไข่ ที่ผ่านมายังไม่มีการยืนยันว่าคางคกรักษาเอดส์ได้

จากกรณีที่มีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ที่ จ . อำนาจเจริญ ดื่มน้ำต้มคางคกควบคู่ไปกับยาสมุนไพรเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และมีผลตรวจออกมาว่าหายจากเชื้อเอดส์ โดยอ้างว่าได้ทำการตรวจที่โรงพยาบาลอำนาจเจริญแล้วแพทย์ยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด

กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า การนำน้ำต้มคางคกมาดื่มแล้วหายจากโรคเอดส์นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากคางคกเป็นสัตว์ที่มีพิษ ส่วนที่มีพิษ ได้แก่ ต่อม 1 คู่ที่อยู่เหนือตา เรียกว่าต่อมพาโรติด (Parotid) เป็นที่เก็บและขับสารพิษออกมา เรียกว่า ยางคางคก มีลักษณะเป็นน้ำเมือกสีขาวคล้ายน้ำนม สารพิษ สำคัญได้แก่ สารบูโฟท๊อกซิน (bufotoxin) มีผลกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัว นอกจากนั้น ส่วนอื่นๆ ของคางคกก็มีพิษด้วย ได้แก่ ผิวหนัง เลือด เครื่องใน และไข่ หากกรรมวิธีทำไม่ดีก่อนปรุงก็จะรับพิษได้

อาการหนังรับพิษได้แก่ มีน้ำลายและเสมหะมาก แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจหอบ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวถึงขั้นเสียชีวิต บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ถ่ายมีเลือดปน และหากยางคางคก ไปถูกตาจะทำให้เยื่อบุตาและแก้วตาอักเสบ ตาพร่ามัวถึงขั้นตาบอดชั่วคราวได้ จึงขอเตือนประชาชนว่าไม่ควรนำคางคกมารับประทาน และยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า คางคกรักษาโรคเอดส์ได้
ข่าว สรรพสาร วงการยา ปีที่ 8 ฉบับที่ 87 เดือนตุลาคม พ.ศ.2548

virus ไวร้าย

ไวรัสรายตัวหนึ่งที่น่ากลัว แต้ก็สามารถป้องกันได้ และมีหลายวิธีที่เราจะหามาป้องกัน มาดูรายละเอียดของเชื้อเอดศ์ว่ามันเป็นมายังไง


รับเชื้อมาแล้ว เชื้อไปไหนบ้าง
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย มันก็ถูกเม็ดเลือดขาวจับกิน ถ้าเป็นเชื้ออื่นก็โดนเขมือบเรียบร้อย แต่นี่เพราะมันคือเอดส์ วายร้ายไวรัสเอดส์ก็จัดการก็อป � ตัวเอง จนเป็นไวรัสตัวใหม่แล้วก็ก็อป � ๆๆๆ จนเม็ดเลือดขาวแตกตาย มันก็ออกมาเวียนว่ายอยู่ในกระแสเลือด (แล้วก็ไปโจมตีเม็ดเลือดขาวตัวอื่นต่อไป) ถึงตอนนี้ร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ขึ้นมา
ช่วงระยะเวลาจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จนเชื้อไวรัสออกสู่กระแสเลือด ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 - 6 สัปดาห์ ช่วงนี้ถ้าจะตรวจหาว่ามีเชื้อเอดส์หรือไม่ ก็สามารถตรวจได้ โดยตรวจ "แอนติเจน"
กว่าร่างกายจะสร้างแอนติบอดี ก็ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน ดังนั้น ถ้าจะตรวจแอนติบอดีได้ อย่างเร็วที่สุดก็ 3 สัปดาห์ (ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีแอนติบอดีขึ้นเร็วอย่างนี้เสมอไป)
ตรวจเลือดเอดส์ เขาตรวจอะไร ?
การตรวจว่ารับเชื้อเอดส์มาหรือไม่ มีวิธีตรวจได้ สองอย่าง คือตรวจแอนติเจนกับตรวจแอนติบอดี แต่การตรวจแอนติเจนนั้นยุ่งยาก ใช้เครื่องมือซับซ้อน ราคาแพง ใช้เวลานาน จึงไม่นิยมตรวจ เป็นตัวเลือกแรก เหมือนการตรวจแอนติบอดี ซึ่งตรวจได้ง่าย ราคาถูก ได้ผลเร็ว เชื่อถือได้ค่อนข้างแน่นอน
ตรวจเลือดเอดส์มีกี่แบบ
1. การตรวจหาแอนติบอดีต่อ HIV (Anti-HIV antibody)
ELISA : เป็นการ "ตรวจคัดกรอง" (screening test) ที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ทำได้ง่าย ไม่แพง มีความไวมาก ความแม่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตรวจแล้วให้ผลบวกสองครั้ง จากน้ำยาของต่างบริษัท ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ แต่การจะบอกว่าใครเลือดบวกเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งจะต้องตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่นที่จำเพาะกว่าอีกครั้งก่อน
ผลบวกปลอม มีไหม ? มีครับ แต่ก็น้อยยยยยยย แล้วปลอมมาจากไหน ก็จากแอนติบอดีต่อกล้ามเนื้อเรียบ ต่อไมโตคอนเดรียในเซลล์ของร่างกาย ต่อไวรัสชนิดอื่นที่คล้ายกัน ฯลฯ
ผลลบปลอมมีไหม ? (ติดเชื้อ แต่ผลตรวจเป็นลบ) ก็มีครับ แต่ก้อ…น้อยยยยย โดยเฉพาะพวกใจร้อน เพิ่งรับเชื้อมา ก็รีบตรวจ แอนติบอดียังไม่ขึ้น จึงยังให้ผลเป็นลบ เรียกระยะนี้ว่า Window period
Western blot assay : เป็นการ "ตรวจยืนยัน" (Confirmatory test) การติดเชื้อ HIV ที่นิยมมากที่สุด เพราะมีความไว และความแม่นยำสูงกว่าวิธี ELISA แต่ราคาแพงกว่า ใช้เวลามากกว่า ทำยากกว่า ถ้าอย่างนั้น Western blot assay ก็เชื่อถือได้ ถ้าให้ผลเป็นบวกมันก็ต้องบวกแน่ๆซิ …เปล่าครับ ผลบวกปลอมก็มี แต่ก้อ….น้อยยยยยยยยยยยนิด (จริงๆ)
Indirect immunofluorescent assay (IFA) : เป็นการตรวจหาแอนติบอดีเหมือน Western blot เพียงแต่การอ่านผล อ่านจากดูการเรืองแสง แทนการนับสารรังสีใน Western blot มีความไวและความแม่นพอๆกัน
Radioimmunoprecipitation assay (RIPA) : เป็นการหาแอนติบอดีอีกวิธีที่ให้ผลไวกว่า Western blot แต่ทำยากมักใช้ในงานวิจัยเท่านั้น
2. การตรวจหาแอนติเจน ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจหา p24 antigen ในเลือดด้วยวิธี ELISA สามารถตรวจหาตัวเชื้อ ในช่วงที่แอนติบอดียังไม่ขึ้น หรือที่เรียก window period แต่ก็มีข้อเสียคือความไวยังน้อย (คือตรวจไม่ค่อยเจอ) และไม่เหมาะที่จะใช้เป็นวิธีคัดกรอง (screening test)
3. การเพาะเชื้อไวรัส HIV ทำยาก ราคาแพง ความไวน้อย แต่ถ้าให้ผลบวก ก็ถือว่าชัวร์ที่สุด
4. การตรวจหา DNA ของไวรัส วิธีนี้คือการหาโดยอาศัยการเพิ่มปริมาณ DNA เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) ตรวจได้แม้จะมีปริมาณ DNA เพียงน้อยนิด (มีความไวสูง) ความชัวร์เชื่อถือได้แน่นอน ถือเป็นวิธีการ "ตรวจยืนยัน" ที่แน่นอนที่สุด
เพิ่งไปเที่ยวมา จะขอตรวจแอนติเจนเลยได้ไหม ก็ผมใจร้อนน่ะ
ไม่ได้ครับ เพราะไม่มีที่ไหนจะตรวจให้ก่อนที่จะทำการตรวจขั้นต้นหรือแบบคัดกรองก่อน การตรวจคัดกรองตรวจง่าย ราคาถูก ผลเชื่อถือได้ถึง 99 % ตรวจได้ทุกโรงพยาบาลทั้งของรัฐทั้งของเอกชน หรือแม้แต่คลินิกหลายๆ แห่งก็ตรวจให้ได้ ส่วนการตรวจหาแอนติเจนนั้น มีไม่กี่แห่งที่ทำได้ เพราะต้องลงทุนสูง ต้องใช้บุคลากรเฉพาะ
ถ้าอย่างนั้น เพิ่งไปเที่ยวมา ตรวจเลือดเลย ก็ไม่มีประโยชน์นะซิ
ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว ในกรณีที่คุณอยากรู้ว่าติดจากใครก็พอบอกได้ เช่น ไปนาบเบอร์นี้มา แล้ว 3 เดือนต่อมา ตรวจเลือดให้ผลบวก คุณจะไปเหมาเอาว่าติดมาจากคนคนนี้ไม่ได้ เพราะคุณอาจมีเลือดบวกอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ( แถมยังถูกหาว่าเอาโรคไปติดเธอซะอีก ) แต่ถ้าคุณตรวจเลือดหลังจากเที่ยวแล้วให้ผลลบ หลังจากนั้นไม่ได้ไปรับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมาอีก แล้วต่อมาอีก 3 เดือน เกิดแจ็คพอร์ต เลือดบวก ก็พอจะ ต่อว่า ว่า คนนี้แหละ ใช่เลย
การตรวจเลือดมีขั้นตอนอย่างไร
ปกติเมื่อคุณไปขอตรวจเลือดเอดส์ เขาก็จะตรวจแบบ "ตรวจขั้นต้น" หรือที่เรียก " ตรวจคัดกรอง " (screening test ) ใช้วิธี ELISA โดยตรวจแอนติบอดี ถ้าให้ผลบวก เขาก็จะตรวจยืนยันโดยวิธี western blot assay จึงจะบอกได้ว่า "เลือดเอดส์ให้ผลบวก" การตรวจคัดกรองใช้เวลาไม่นาน ถ้ามีเลือดคุณคนเดียว นับเวลาตั้งแต่เจาะเลือดจนรู้ผล ก็ไม่เกิน 20 นาที แต่ปกติก็จะตรวจหลายราย อาจใช้เวลานานหน่อย หรือบางแห่งอาจนัดมาฟังผลทีหลังก็ได้ ส่วน western blot ก็แล้วแต่สถานที่ บางแห่ง 7 วันก็รู้ผล บางแห่ง ก็นัดเป็นเดือนก็มี
ผลตรวจเลือด ELISA เป็นบวก เราต้องไปตรวจยืนยันต่อหรือไม่
ก็อยู่ที่ว่าคุณไปตรวจที่ไหน ถ้าเป็นของรัฐบาล เขาก็จะตรวจต่อให้เลย โดยคุณไม่ต้องร้องขอ แต่ถ้าเป็นของเอกชน ค่าตรวจ Western blot มีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าคุณจะตรวจก็ต้องจ่ายเอง หรือคุณจะย้ายมาตรวจกับของรัฐบาลต่อก็ได้ (เจ็บอีกที แต่ก็ประหยัดเงิน)
เลือดบวก แปลว่าอะไร ?
ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจกับคำว่า "บวก" และ "ลบ" ก่อน คำนี้แปลมาจากภาษฝรั่ง ว่า "positive" และ "negative" ไม่รู้ใครเป็นคนแปลเป็นคนแรก แล้วก็ใช้กันมาโดยตลอด แหม..เล่นแปลกันตรงตัวเลย ความจริงมันไม่ใช่ บวก หรือ ลบ ในความหมายทางคณิตศาสตร์ แต่หมายถึงว่า "มี" หรือ "พบเชื้อ" หรือ "พบร่องรอย" เช่น เราเจาะเลือดมาจำนวนหนึ่ง อยากรู้ว่าเลือดนี้ มีเชื้อ A (สมมุติว่าเรียกเชื้อนี้ว่า เชื้อ A) เราก็เอาน้ำยาที่ตรวจหาเชื้อ A มาทำปฎิกริยากับเลือด ถ้า "มีเชื้อ" หรือ "มีร่องรอย" ฝรั่งก็เรียก "positive" เราก็เรียกว่า "เลือดบวกต่อเชื้อ A"
ถ้าอยากรู้ว่าติดเชื้อซิฟิลิสหรือเปล่า เราก็เอาน้ำยาตรวจหาซิฟิลิสมาทำ ปฎิกริยากับเลือด ถ้ามีเชื้อซิฟิลิส ก็เรียกว่า เลือดบวกต่อซิฟิลิส ถ้าตรวจการตั้งครรภ์ เอาเลือดมาหาฮอร์โมน ถ้ามีฮอร์โมนที่แสดงว่าตั้งครรภ์ ก็เรียกว่า เลือดบวกต่อการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่า เอาเลือดไปตรวจหาอะไร ถ้าตรวจหาเอดส์ แล้วให้ผลบวก ก็บอกว่า เลือดบวกต่อเชื้อเอดส์ ดังนั้น "เลือดบวก" ต้องระบุให้ชัดว่าบวกจากอะไร จะพูดว่าเลือดบวกเฉยๆ ไม่ได้
เลือดเอดส์ "บวก" แปลว่า "เป็นเอดส์" ใช่ไหม
ไม่ใช่ครับ ก่อนจะเป็นเอดส์เต็มขั้น จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เป็นเวลานานหลายปี คุณอาจมีเลือดเอดส์บวกอยู่เป็นสิบๆ ปี โดยไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้
"ติดเชื้อ" กับ "เป็นเอดส์" เหมือนกันไหม
"ติดเชื้อ" หมายถึงรับเชื้อมาแล้ว มีเชื้อในร่างกายของเรา ตรวจเลือดเอดส์ก็ให้ผลบวก แต่ก็ยังไม่มีอาการอะไร บางคนกินยายับยั้งเชื้อเอดส์พร้อมกับรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็สามารถมีชีวิตเหมือนคนปกติ (ดูหน้าตาก็ไม่รู้)เพียงแต่มีเลือดเอดส์เป็นบวกเท่านั้น
"เป็นเอดส์" หมายถึงการมีอาการแทรกซ้อนต่างๆแสดงออกทางร่างกายแล้ว เป็นผลจากที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง จนไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆได้
รับเชื้อมาแล้วกี่ปีจึงจะเป็นเอดส์
ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ เพียงแต่มีเลือดบวกเฉยๆ บางคนอาจไม่มีอาการอะไรเลย เป็นเวลา 10 ปี ก็มี แล้วนานแค่ไหนที่รับเชื้อแล้วจนมีอาการเป็นเอดส์
หลังรับเชื้อมาแล้ว…………….
เวลาผ่านไป 1 - 2 ปี มีไม่ถึง 5 % ที่เป็นเอดส์
เวลาผ่านไป 3 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 20 %
เวลาผ่านไป 6 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 50 %
เวลาผ่านไป 16 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 65 - 100 %
เฉลี่ย นับจากรับเชื้อจนเป็นเอดส์ ประมาณ 7 - 11 ปี
รับเชื้อมา แต่เลือดยังไม่บวก จะติดคนอื่นได้ไหม
หมายความว่ารับเชื้อมาแล้ว แต่เลือดยังไม่บวก ไปมีเพศสัมพันธ์ จะเอาเชื้อไปแพร่ให้คู่นอนได้ไหม ได้ซิครับ ก็อย่างที่บอก ตอนรับเชื้อมาใหม่ๆ 2 - 6 สัปดาห์ ตรวจหาแอนติบอดียังไม่เจอ แต่เชื้อในเลือดมีแล้วจึงมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจว่าจะรับเชื้อมาหรือเปล่า ก็คงต้องงดมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักหรือภรรยา หรือถ้าจำเป็นก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไว้ก่อน (Safety first…ความจริงถ้า first ตั้งแต่ไปเที่ยวมา ก็ไม่ต้องมาวุ่นวายอย่างนี้แล้ว ..เนาะ)
ค่าตรวจเลือดเอดส์แพงไหม
ถ้าเป็นการตรวจขั้นต้น หรือที่เรียก ตรวจคัดกรอง โดยวิธี ELISA ถ้าเป็นของรัฐบาล ราคาก็จะอยู่ราว 50 -100 บาท (ต้นทุนเฉพาะชุดตรวจ ราว 150 บาท ไม่นับค่าเจาะเลือด ปั่นเลือด อุปกรณ์อื่น ค่าบุคลากร ค่าฯลฯ) ถ้าเป็นของเอกชนก็ราว 250 -300 บาท
ตรวจได้ที่ไหนบ้าง
ปกติเขาจะตรวจแบบคัดกรอง (ELISA) ให้ ซึ่งสามารถตรวจได้ทุกโรงพยาบาล ทั้งของรัฐของเอกชน หรือแม้แต่คลินิกหลายๆแห่งก็สามารถตรวจให้ได้
ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร ต้องอดอาหารไหม
ไม่ต้องเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องเตรียมเงินกับเตรียมใจครับ เพราะผลการตรวจเลือดเอดส์ไม่เหมือนการตรวจเลือดอย่างอื่น ต้องลุ้นด้วยความระทึกใจ ถ้าผลเป็นบวก คนที่มีภาวะจิตใจไม่เข้มแข็งอาจหวั่นไหวจนเสียสติ หรือตัดสินใจผิดๆ ได้ บางคนเข่าทรุดตกอยู่ในภาวะหมดหวังท้อแท้ แล้วถ้ารู้ไปถึงเพื่อนฝูงก็อาจเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ได้ อาจถึงกับถูกไล่ออกจากงาน หลายหน่วยงานปฏิเสธไม่ยอมรับให้ทำงาน
ดังนั้นก่อนไปตรวจเลือดจึงต้องเตรียมจิตใจให้ดีว่า ถ้าผลเลือดเป็นบวก เราจะรับสภาพได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้น เราจะวางแผนรับมืออย่างไร ถ้ามีแฟน มีภรรยา เราจะทำอย่างไร จะมีบุตรไหม ถ้าจิตใจยังไม่พร้อม ก็รอได้ รอจนกว่าจะพร้อมจึงค่อยไปตรวจ (นี่พูดถึงคนที่มีความเสี่ยงมากๆ นะ เช่นชอบสำส่อนทางเพศ ติดยาเสพติดชนิดฉีด ฯลฯ)
ผลตรวจเลือด จะเป็นความลับแค่ไหน
ปกติแพทย์จะต้องรักษาความลับของคนไข้เสมอ ยิ่งเป็นเรื่องเอดส์ โรคที่สังคมรังเกียจ ก็ยิ่งต้องรักษาไว้อย่างยิ่งยวด ยกเว้นอยู่สองกรณีที่ เปิดเผยได้ คือ เจ้าตัวเจ้าของเลือดอนุญาต หรือกรณีมีคำสั่งศาล
แต่ก็ใช่ว่าแพทย์รักษาความลับแล้ว ความลับจะไม่รั่วออกไป เพราะในกระบวนการตรวจเลือดนั้น มีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทังเจ้าหน้าที่ตรวจเลือด ห้องตรวจเลือด เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่อาจรับรู้ได้เช่นกัน
ตรวจเลือดต้องบอกชื่อ บอกที่อยู่หรือไม่
ปกติถ้าไปตรวจตามโรงพยาบาล เขาก็มักจะทำบัตร ก็ต้องกรอกชื่อ ที่อยู่ ถ้าคุณไม่อยากให้ใครรู้ ก็คงต้องไปหาโรงพยาบาลอื่นที่ไม่มีใครรู้จักคุณ แล้วทำบัตรใหม่ คุณจะกรอกชื่อปลอม ที่อยู่ปลอมก็ได้ เขาไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เอาบิลไปเบิกที่ไหน หรือจะไปตรวจที่คลินิกนิรนามก็ได้ เขาไม่ถามชื่อคุณ ถ้าเป็นที่กรุงเทพ คลินิกนิรนามที่สภากาชาด ตรงถนนอังรีดูนังก็มี ถ้าเป็นที่ต่างจังหวัดที่มีศูนย์กามโรคตั้งอยู่ก็มี
เลือดเอดส์ "บวก" แล้ว จะเป็น "ลบ" ได้ไหม
ปกติเมื่อเลือดเอดส์ให้ผลบวก แล้ว (ตรวจยืนยันแล้ว) ก็จะบวกไปตลอดชีวิต จะไม่กลับมาเป็นลบอีก ยกเว้นคนที่เป็นมากโทรมจนร่างกายไม่มีภูมิต้านทานแล้ว เลือดก็จะไม่บวก แต่นั่นก็หมายถึงคนใกล้ตายเต็มทีแล้วครับ ดังนั้นเมื่อท่านมีเลือดบวก ก็จะเป็นตราประทับติดตัวท่านไปตลอดชีวิต จะเที่ยว จะสำส่อนก็ระมัดระวังไว้บ้างครับ
ก่อนแต่งงาน ควรตรวจเลือดเอดส์หรือไม่
หลายคนบอกว่า ตรวจไปทำไม รักกันจะแต่งอยู่แล้ว ถึงเลือดบวก ก็แต่งอยู่ดี มันก็ใช่…ก็เพราะ " แต่งอยู่ดี " นี่แหละที่ต้องตรวจ เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีเชื้อเอดส์ก็จะได้ป้องกันอีกฝ่ายไม่ให้อีกฝ่ายรับเชื้อ ดีกว่าที่ไม่รู้ � โหน่ � เหน่แล้วติดไปด้วยกันทั้งคู่ มีชายหญิงคู่หนึ่งมาตรวจเลือดก่อนแต่ง ปรากฏว่าฝ่ายชายเลือดเอดส์บวก ฝ่ายหญิงไม่บวก ผมถามผู้หญิงว่า รู้อย่างนี้แล้วยังจะแต่งไหม เธอบอกว่า รักเขามาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังยืนยันจะแต่ง ยิ่งมารู้ว่าเขาป่วย จะทิ้งเขาได้อย่างไร จะอยู่กับเขา จะดูแลปรนนิบัติเขาจนกว่าเขาจะหาชีวิตไม่ หลังจากพูดคุยกันแล้วผมก็แนะนำให้ฝ่ายชาย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เธอถามว่าแล้วอย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสมีลูกซิ เธอต้องการมีลูกกับเขา เพื่อเป็นตัวแทนเขาเมื่อยามที่เขาไม่อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไร เพราะถ้าอยากมีลูกก็ต้องไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งก็เสี่ยงต่อการรับเชื้อ ผมก็แนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นก็อาจใช้วิธีผสมเทียม ให้มีการปฏิสนธินอกร่างกายแล้วค่อยนำตัวอ่อนฉีดเข้ามดลูก ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อต่อเธอ ได้
"เอดส์" แม้ยังไม่มียาอะไรจะรักษาได้ แต่เราก็สามารถรักษาเอดส์ได้ ด้วย "ความรัก" และ "กำลังใจ" ครับ

ข้อมูลโดย : นพ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ