ความรู้เกี่ยวกับโรค AIDS และ HIV
HIV คือไวรัสที่เป็นต้นเหตุให้ภูมิคุ้มกันเราไม่ทำงานได้ตามปรกติ หรือที่เราเรียกกันว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องนั่นเอง มากกว่า 28 ล้านคนทั่วโลกต้องเสียชีวิตจากโรคนี้ ในเวลากว่า 25 ปีหลังจากที่ไวรัสตัวนี้รู้จักกันเป็นครั้งแรก
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่จ้องจะทำให้ภูมิคุ้มกันของเราบกพร่องโยตรงเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะไวรัส ก็ต้องการที่เอาตัวรอดจากการถูกทำลายของภูมิคุ้มกันของเราด้วย วิธีเดียวที่ไวรัสสามารถทำได้ก็คือการไปหยุดการทำ งานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งนั่นก็เป็นผลร้ายกับเราเมื่อไม่มีระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอเราก็สามารถที่จะติดเชื้อโรคได้ ง่ายมากกว่าคนปกติหลายเท่า ซึ่งอาการที่เราติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ เรารู้จักกันดีของอาการที่เราเรียกว่า AIDS ซึ่งนี้ก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้
หลังจากที่ไวรัสเข้ามาในร่างกายแล้ว มันก็จะมุ่งไปโจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวหนึ่งที่ชื่อว่า CD4+ การโจมตีของมันก็เหมือนไวรัสสายพันธ์อื่นๆโดย การแทรกสารพันธุกรรมของมันไปในสารพันธุกรรมของเรา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าในเซลล์เล็กๆของเรามีสารพันธุ์คอยสั่ง และสร้างสารที่สำคัญต่างๆให้กับร่างกาย ซึ่งไวรัสมันก็ใช้สารพันธุกรรมเรารวมตัวกับสารพันธุกรรมของไวรัส เพื่อสั่งให้สร้าง สารพันธุกรรมของไวรัสเพิ่มขึ้นภายในเซลล์ของเรา ก่อนที่มันจะแตกตัวออกจากเซลล์เราเพื่อเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มไว และ ติดเชื้อกับเซลล์อื่นๆของเราต่อไป
แต่ก่อนเราไม่รู้ว่าการที่ไวรัสตัวนี้เข้ามาใน ร่างกายของเรามีผลต่อการทำงานที่บกพรองของภูมิคุ้มกันของเราอย่างไร แต่ก่อนเราเชื่อว่ามันไปทำลาย CD4 ของเรา ซึ่งเราเพิ่งค้นพบว่าความจริง CD4 เซลล์เรามันถูกทำให้หยุดทำงาน มันไม่ได้ถูกทำลาย เพียงแต่มันไม่ทำงาน เมื่อ CD4 อ่อนแอ และ หมดอายุขัยของมัน ก็ถึงการสลายตัวของมัน ขณะที่การสร้าง CD4 ตัวใหม่ก็ถูกกระตุ้นให้สร้างช้าลง หรือไม่สร้างเลย นั่นก็เป็นสัญญาณบอกแล้วว่าโอกาสที่เราจะพัฒนาไปเป็น AIDS ก็ค่อนข้างสูง
สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้ความไวในการที่มันจะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารพันธุกรรมซึ่งเร็วมาก กว่าการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมของไวรัสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกครั้งที่มันมีการแพร่พันธุ์ตัวเอง สิ่งที่ยากในการวิจัยของไวรัสตัวนี้ก็คือ สารที่เคลือบรหัสพันธุกรรมของไวรัสเป็นโปนตีน ที่มีสารประกอบเชิงโครงสร้างคล้ายกับ เซลล์ของมนุษย์มาก ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรายากในการที่จะแยกที่จะจับและ ทำลาย ระหว่างเซลล์ที่ติดเชื้อ และเซลล์ที่ดี
การติดเชื้อของไวรัส แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ
การจับตัวของไวรัสที่ CD4 ซึ่งก็เป็นสิ่งแรกในการที่ไวรัสใช้เป็นทางในการเข้าสู่ใน เซลล์เรา 2) การสร้างสารพันธุกรรมใหม่ของไวรัสโดยใช้โปรตีนบางตัวของมัน 3) การใส่สารพันธุกรรมตัวใหม่นี้ของไวรัส และใส่เข้าไปในสารพันธุกรรมของเรา และสั่งให้เพิ่มการผลิตสารพันธุกรรมที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน การที่จะเป็นไวรัสตัวเต็มวัยต่อไป 4) การแตกหน่อ ซึ่งก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะออกจากเซลล์เราเพื่อจะกลาย เป็นไวรัสที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยต่อไป
การติดเชื้อ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการติดเชื้อ HIV นั่นค่อนข้างยาก เนื่องจากเชื้อไวรัสจะอยู่ใน เลือด และน้ำคัดหลั่งตาก ไม่ใช่โกหกแต่ในน้ำลายก็มีเชื้อ HIV อยู่เหมือนกันแต่ในปริมาณที่น้อยมากที่จะสามารถติดได้ ทานอาหารร่วมกันนี่อย่างไงก็ไม่ติด อย่างที่กล่าวไปในกระทู้ วันนี้ขอเขียนอะไรยาวๆหน่อยน่ะครับ ) ว่าการติดเชื้อน่ะต่อให้เราได้รับเชื้อมาแต่มันก็ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของเชื้อด้วย เพราะถ้าเราได้รับเชื้อมามาก ซึ่งถ้ามันหลุดรอดจากการทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของเราในระยะ แรกได้แล้ว โอกาสที่มันจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการที่ไวรัสจะ ปล่อยสารออกมาหยุดการทำงานของภูมิคุ้มกันของเรา
โอกาสที่จะติดเชื้อ HIV มีดังนี้ 1) มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน โดยวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการใช้ถุงยาง 2) ใช้เข็มฉีดยา และของมีคมที่อาจจะบาดและมีเลือดของผู้มีเชื้ออยู่ ร่วมกับผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดีหากว่าเมื่อเลือดแห้งแล้ว ไวรัสก็ตายแล้วครับ ไม่ติดแน่ 3) ได้รับการรับเลือดโดยตรง เช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ การับบริจาดเลือด ผ่าตัด 4) ปล่อยให้น้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดนร่างกายในส่วนที่เป็นแผล ซึ่งก็ได้คำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ที่เป็นเพื่อนว่า คำว่าแผลที่จะติดเชื้อได้เต็มๆก็คือแผลที่เปิดกว้าง เพราะโอกาสที่ปริมาณเชื้อจะเข้ามีได้มาก และ เต็มที่ แผลที่เปิดกว้าง เพื่อนบอกว่าให้นึกเอาง่ายๆว่าเอามีดมาเฉือนเนื้อตัวเองให้ เห็นเนื้อแดงๆ นั่นแหละครับ 5) เด็กทารก หรือแรกเกิดที่อาจจะติดจากมารดาทางเลือด หรือการให้นมจากแม่ที่มีเชื้อ
ระยะแรกของการติดเชื้อ กว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นไข้สูง อ่อนเพลีย อาจจะมีผื่นขึ้น ปวดตามข้อต่างๆ หลังจากได้รับเชื้อมาประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อ ผมเอาข้อมูลมาฝากเกี่ยวกับช่วงแรกๆของการติดเชื้อ และ ไวรัสโหลดน่ะครับของผู้รับการวิจัยโดยไม่ได้รับยาต้านไวรัสน่ะครับ
6 สัปดาห์ CD 4 = 900 VL = 500
12 สัปดาห์ CD 4 = 700 VL = 350
1-10 ปี CD 4 = 550-230 VL = 350-500 4
> 10 ปี CD 4 = 220-<10 VL = 450-1000
จริงๆภาวะที่เซลล์ปกติและแข็งแรง CD4 จะอยู่ที่ประมาณ 600-1200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร อย่างไรก็ดีเราไม่ควรที่จะปล่อยให้ CD4 ของเราต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร สิ่งที่สำคัญหลังจากการรับเชื้อแล้ว ร่างกายเราจะสร้าสารตัวหนึ่งที่เรียกว่าสาร antibody ซึ่งใช้ไว้กำจัดเชื้อโรค เนี่องจากเวลาเราตรวจการติดเชื้อเราจะตรวจ antibody ซึ่งเราร่างกายเราก็สร้าง antibody ที่คล้ายๆกัน เวลาเรามีเชื้อโรคอื่น ทำให้การตรวจจับ antibody ของไวรัส HIV ไม่สามารถบอกได้ในระยะแรกๆได้ บางครั้งเราอาจจะต้องรอถึง 3-8 อาทิตย์กว่าที่จะตรวจเจอ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดเชื้อ � หลายรายที่ไม่มีอาการอะไรเลย ก่อนที่จะก้าวไปสู่การเป็น AIDS
การเป็น AIDS – หลังจากที่ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อถูกทำลายจนเหลือน้อยมากๆแล้ว โอกาสที่เราจะเป็นโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก็มีมาก เชื้อแบคทีเรียทั่วไป เชื้อรา หรือไวรัสที่ไม่สามารถทำร่างกายเราได้ เมื่อร่างกายเรามีภูมิปกติ ก็จะทำให้เราเจ็บหนัก หรืออาจจะถึงแก่ชีวิตได้ เพราะ เราไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการต่อสู้ เรามาดูกันดีกว่ากว่า CD4 เท่าไรและสามารถเป็นโรคอะไรได้บ้าง
CD 4 = 0-500 วัณโรค เริม โรคเชื้อราที่ปากและลำคอ
CD 4 = 240 โรคผิวหนังต่างๆ
CD 4 = 190 โรคติดเชื้อต่างๆที่ปอด และดรคปอดบวม
CD 4 = 90 การติดเชื้อที่สมอง
CD 4 = 75 โรคติดเชื้อของทางเดินอาหาร
CD 4 = <50 CMV ซึ่งทำให้ตาบอดได้
อย่างไรก็ดี การที่เราทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ไม่เครียด และ หยุดการติดเชื้อของไวรัสเพิ่มก็สามารถที่จะเพิ่มระดับ CD4 ของเราอยู่ในระดับสูงได้
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่จ้องจะทำให้ภูมิคุ้มกันของเราบกพร่องโยตรงเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะไวรัส ก็ต้องการที่เอาตัวรอดจากการถูกทำลายของภูมิคุ้มกันของเราด้วย วิธีเดียวที่ไวรัสสามารถทำได้ก็คือการไปหยุดการทำ งานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งนั่นก็เป็นผลร้ายกับเราเมื่อไม่มีระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอเราก็สามารถที่จะติดเชื้อโรคได้ ง่ายมากกว่าคนปกติหลายเท่า ซึ่งอาการที่เราติดเชื้อจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ เรารู้จักกันดีของอาการที่เราเรียกว่า AIDS ซึ่งนี้ก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้
หลังจากที่ไวรัสเข้ามาในร่างกายแล้ว มันก็จะมุ่งไปโจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวหนึ่งที่ชื่อว่า CD4+ การโจมตีของมันก็เหมือนไวรัสสายพันธ์อื่นๆโดย การแทรกสารพันธุกรรมของมันไปในสารพันธุกรรมของเรา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าในเซลล์เล็กๆของเรามีสารพันธุ์คอยสั่ง และสร้างสารที่สำคัญต่างๆให้กับร่างกาย ซึ่งไวรัสมันก็ใช้สารพันธุกรรมเรารวมตัวกับสารพันธุกรรมของไวรัส เพื่อสั่งให้สร้าง สารพันธุกรรมของไวรัสเพิ่มขึ้นภายในเซลล์ของเรา ก่อนที่มันจะแตกตัวออกจากเซลล์เราเพื่อเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มไว และ ติดเชื้อกับเซลล์อื่นๆของเราต่อไป
แต่ก่อนเราไม่รู้ว่าการที่ไวรัสตัวนี้เข้ามาใน ร่างกายของเรามีผลต่อการทำงานที่บกพรองของภูมิคุ้มกันของเราอย่างไร แต่ก่อนเราเชื่อว่ามันไปทำลาย CD4 ของเรา ซึ่งเราเพิ่งค้นพบว่าความจริง CD4 เซลล์เรามันถูกทำให้หยุดทำงาน มันไม่ได้ถูกทำลาย เพียงแต่มันไม่ทำงาน เมื่อ CD4 อ่อนแอ และ หมดอายุขัยของมัน ก็ถึงการสลายตัวของมัน ขณะที่การสร้าง CD4 ตัวใหม่ก็ถูกกระตุ้นให้สร้างช้าลง หรือไม่สร้างเลย นั่นก็เป็นสัญญาณบอกแล้วว่าโอกาสที่เราจะพัฒนาไปเป็น AIDS ก็ค่อนข้างสูง
สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้ความไวในการที่มันจะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารพันธุกรรมซึ่งเร็วมาก กว่าการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมของไวรัสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกครั้งที่มันมีการแพร่พันธุ์ตัวเอง สิ่งที่ยากในการวิจัยของไวรัสตัวนี้ก็คือ สารที่เคลือบรหัสพันธุกรรมของไวรัสเป็นโปนตีน ที่มีสารประกอบเชิงโครงสร้างคล้ายกับ เซลล์ของมนุษย์มาก ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรายากในการที่จะแยกที่จะจับและ ทำลาย ระหว่างเซลล์ที่ติดเชื้อ และเซลล์ที่ดี
การติดเชื้อของไวรัส แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ
การจับตัวของไวรัสที่ CD4 ซึ่งก็เป็นสิ่งแรกในการที่ไวรัสใช้เป็นทางในการเข้าสู่ใน เซลล์เรา 2) การสร้างสารพันธุกรรมใหม่ของไวรัสโดยใช้โปรตีนบางตัวของมัน 3) การใส่สารพันธุกรรมตัวใหม่นี้ของไวรัส และใส่เข้าไปในสารพันธุกรรมของเรา และสั่งให้เพิ่มการผลิตสารพันธุกรรมที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน การที่จะเป็นไวรัสตัวเต็มวัยต่อไป 4) การแตกหน่อ ซึ่งก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะออกจากเซลล์เราเพื่อจะกลาย เป็นไวรัสที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยต่อไป
การติดเชื้อ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการติดเชื้อ HIV นั่นค่อนข้างยาก เนื่องจากเชื้อไวรัสจะอยู่ใน เลือด และน้ำคัดหลั่งตาก ไม่ใช่โกหกแต่ในน้ำลายก็มีเชื้อ HIV อยู่เหมือนกันแต่ในปริมาณที่น้อยมากที่จะสามารถติดได้ ทานอาหารร่วมกันนี่อย่างไงก็ไม่ติด อย่างที่กล่าวไปในกระทู้ วันนี้ขอเขียนอะไรยาวๆหน่อยน่ะครับ ) ว่าการติดเชื้อน่ะต่อให้เราได้รับเชื้อมาแต่มันก็ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของเชื้อด้วย เพราะถ้าเราได้รับเชื้อมามาก ซึ่งถ้ามันหลุดรอดจากการทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของเราในระยะ แรกได้แล้ว โอกาสที่มันจะกลายเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการที่ไวรัสจะ ปล่อยสารออกมาหยุดการทำงานของภูมิคุ้มกันของเรา
โอกาสที่จะติดเชื้อ HIV มีดังนี้ 1) มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน โดยวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการใช้ถุงยาง 2) ใช้เข็มฉีดยา และของมีคมที่อาจจะบาดและมีเลือดของผู้มีเชื้ออยู่ ร่วมกับผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดีหากว่าเมื่อเลือดแห้งแล้ว ไวรัสก็ตายแล้วครับ ไม่ติดแน่ 3) ได้รับการรับเลือดโดยตรง เช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ การับบริจาดเลือด ผ่าตัด 4) ปล่อยให้น้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดนร่างกายในส่วนที่เป็นแผล ซึ่งก็ได้คำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ที่เป็นเพื่อนว่า คำว่าแผลที่จะติดเชื้อได้เต็มๆก็คือแผลที่เปิดกว้าง เพราะโอกาสที่ปริมาณเชื้อจะเข้ามีได้มาก และ เต็มที่ แผลที่เปิดกว้าง เพื่อนบอกว่าให้นึกเอาง่ายๆว่าเอามีดมาเฉือนเนื้อตัวเองให้ เห็นเนื้อแดงๆ นั่นแหละครับ 5) เด็กทารก หรือแรกเกิดที่อาจจะติดจากมารดาทางเลือด หรือการให้นมจากแม่ที่มีเชื้อ
ระยะแรกของการติดเชื้อ กว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นไข้สูง อ่อนเพลีย อาจจะมีผื่นขึ้น ปวดตามข้อต่างๆ หลังจากได้รับเชื้อมาประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อ ผมเอาข้อมูลมาฝากเกี่ยวกับช่วงแรกๆของการติดเชื้อ และ ไวรัสโหลดน่ะครับของผู้รับการวิจัยโดยไม่ได้รับยาต้านไวรัสน่ะครับ
6 สัปดาห์ CD 4 = 900 VL = 500
12 สัปดาห์ CD 4 = 700 VL = 350
1-10 ปี CD 4 = 550-230 VL = 350-500 4
> 10 ปี CD 4 = 220-<10 VL = 450-1000
จริงๆภาวะที่เซลล์ปกติและแข็งแรง CD4 จะอยู่ที่ประมาณ 600-1200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร อย่างไรก็ดีเราไม่ควรที่จะปล่อยให้ CD4 ของเราต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร สิ่งที่สำคัญหลังจากการรับเชื้อแล้ว ร่างกายเราจะสร้าสารตัวหนึ่งที่เรียกว่าสาร antibody ซึ่งใช้ไว้กำจัดเชื้อโรค เนี่องจากเวลาเราตรวจการติดเชื้อเราจะตรวจ antibody ซึ่งเราร่างกายเราก็สร้าง antibody ที่คล้ายๆกัน เวลาเรามีเชื้อโรคอื่น ทำให้การตรวจจับ antibody ของไวรัส HIV ไม่สามารถบอกได้ในระยะแรกๆได้ บางครั้งเราอาจจะต้องรอถึง 3-8 อาทิตย์กว่าที่จะตรวจเจอ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดเชื้อ � หลายรายที่ไม่มีอาการอะไรเลย ก่อนที่จะก้าวไปสู่การเป็น AIDS
การเป็น AIDS – หลังจากที่ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อถูกทำลายจนเหลือน้อยมากๆแล้ว โอกาสที่เราจะเป็นโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก็มีมาก เชื้อแบคทีเรียทั่วไป เชื้อรา หรือไวรัสที่ไม่สามารถทำร่างกายเราได้ เมื่อร่างกายเรามีภูมิปกติ ก็จะทำให้เราเจ็บหนัก หรืออาจจะถึงแก่ชีวิตได้ เพราะ เราไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการต่อสู้ เรามาดูกันดีกว่ากว่า CD4 เท่าไรและสามารถเป็นโรคอะไรได้บ้าง
CD 4 = 0-500 วัณโรค เริม โรคเชื้อราที่ปากและลำคอ
CD 4 = 240 โรคผิวหนังต่างๆ
CD 4 = 190 โรคติดเชื้อต่างๆที่ปอด และดรคปอดบวม
CD 4 = 90 การติดเชื้อที่สมอง
CD 4 = 75 โรคติดเชื้อของทางเดินอาหาร
CD 4 = <50 CMV ซึ่งทำให้ตาบอดได้
อย่างไรก็ดี การที่เราทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ไม่เครียด และ หยุดการติดเชื้อของไวรัสเพิ่มก็สามารถที่จะเพิ่มระดับ CD4 ของเราอยู่ในระดับสูงได้
1 Comments:
ถุงยาง
by Health For news
แสดงความคิดเห็น
Home