็Information HIV Test From Kaewdiary.com
การตรวจวินิจฉัยหาภูมิต่อเชื้อ HIV สามารถทำได้หลายวิธี การตรวจที่ให้ผลเร็วสามารถตรวจจากเลือด น้ำลาย และปัสสาวะ ก่อนการตรวจเลือดผู้ป่วยควรได้รับการปรึกษาถึงผลดีและผลเสียของการตรวจรวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจ เช่น ความรู้สึกกลัวหรือซึมเศร้า ปัญหาทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น ปัญหาการจ้างงาน ปัญหาการประกันชีวิต ปัญหาการยอมรับของครอบครัว เป็นต้นแต่การตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV มักจะปิดชื่อของผู้รับการตรวจทำให้ปัญหาต่างลดลง
การตรวจ HIV สามารถทำได้หลายวิธีโดยมีความแม่นยำ และราคาต่างๆกัน
การครวจเลือดที่ให้ผลเร็วโดยใช้วิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) วิธีนี้ให้ผลเร็วมีความไวและมีความแม่นยำในการตรวมีความแม่นยำ(sensitivity and specificity of) 99.9%.หากให้ผลบวกต้องยืนยันการวินิจฉัยโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจวิธีนี้มีข้อควรระวังคือหลังจากได้รับเชื้อจะมีช่วงหนึ่งที่ตรวจเลือดยังไม่พบภูมิต่อเชื้อ HIV เราเรียกช่วงนี้ว่า window period ถ้าหากคนผู้นั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ร่วมเพศโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เราต้องรออีก 6 เดือนเพื่อเจาะเลือดอีกครั้ง ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวังคือเมื่อตรวจด้วยวิธี ELISA ให้ผลบวกแต่ผลการตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assay ให้ผลบวกหนึ่งแบนกรณีนี้อาจจะเกิดจาก window period, หรือติดเชื้อด้วยเชื้อ hiv อีกชนิดหนึ่ง เช่น HIV-2 หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น นอกจากนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine ก็อาจจะให้ผลบวกหลอก การตรวจเลือดหาภูมิหากผลเลือดบวกโดยที่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องทดสอบซ้ำอีกครั้ง
การตรวจปัสสาวะและเยื่อเมือกในปาก มีความแม่นยำและจำเพาะ 99.5 %หากให้ผลบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจเลือดด้วยตัวเอง วิธีการหยดเลือดไว้บนกระดาษแล้วส่งเข้าห้องปฏิบัติการ สามารถรายผลทางโทรศัพท์ มีจำหน่ายตามร้านขายยาแต่มีข้อที่ต้องระวังคือ
ไม่มีการให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ถ้าผลเลือดบวกผู้ป่วยควรจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวผู้ป่วยบางคนอาจจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองทั้งที่โรคนี้สามารถควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามได้ ถ้าผลเลือดลบควรจะได้รับคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ HIV
การทดสอบนี้อาจจะให้ผลบวกหลอกในผู้ป่วยบางรายเพราะไม่ได้มีการคักกรองกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจ
การตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยวิธี HIV RNA (viral load assay) จะตรวจกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นถูกเข็มฉีดยาจากผู้ป่วยตำ หรือร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้อโดยที่ไม่ได้ป้องกัน และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันในเลือด การตรวจนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้น แต่ก็มีข้อผิดพลาดกรณีที่พบเชื้อปริมาณน้อย การตรวจเลือดวิธีนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้นเราเรียกการติดเชื้อชนิดนี้ว่า Primary HIV infection ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในการให้ยาต้านไวรัส HIV
ประโยชน์ที่ผู้ที่ได้รับการตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV แบ่งได้เป็น
1.ผลเลือดบวกคือได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วยจะได้รับการประเมิน การวางแผนการรักษา การรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV รวมทั้งการติดเชื้อฉวยโอกาส
มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำรงชีวิตเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การงดบุหรี่ การอดแอลกอฮอร์ อาหาร
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อลดการติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช่นการมีเพศสัมพันธ์ การฉีดยาเข้าเส้น
ลดความวิตกกังวล
ลดการติดเชื้อจากแม่ไปลูก
2.ผลเลือดให้ผลลบคือไม่ได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ที่ได้รับการตรวจก็จะสบายใจไม่ต้องวิตกกังวล
ได้รับคำแนะนำการป้องกันการติดเชื้อ HIV
ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์
ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่ไม่มีอาการ
อาการเนื่องจากการติดเชื้อ HIV มีได้หลายอย่างรูปแบบตั้งแต่ไม่มีอาการจนกระทั่งมีอาการอย่างอ่อนจนกระทั่งเป็นเอดส์เต็มขั้น และยาต้านไวรัสเอดส์ก็สามารถยับยังการเจริญเติบโตของเชื้อและป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส และลดอัตราการตายจากโรคแทรกซ้อน แต่การที่จะลดโรคแทรกซ้อนจะต้องตรวจวินิจฉัยให้เร็ว ผู้ป่วยทราบว่าตัวเองอยู่ในระยะไหนของโรค การค้นพบว่าติดเชื้อ HIV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรักษาหลายอย่าง เช่น
เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 200 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Pneumocystis carinii
เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 50 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Mycobacterium avium complex (MAC)
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และมีผลบวกต่อเชื้อซิฟิลิส Syphilis จะต้องเจาะหลังตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อดูว่าเชื้อซิฟิลิสเข้าสมองหรือไม่
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV เมื่อทดสอบผิวหนังต่อเชื้อวัณโรคถ้าหากให้ผลมากกว่า 5 mm(คนปกติต้องมากกว่า 10 mm)จะต้องให้ยาป้องกันวัณโรค
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ทุกคนควรได้วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไวรัสตับอักเสบ บี
ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
ผู้ที่มีอาการมักจะมีภูมิคุ้มกันบางส่วนถูกทำลาย การรักษาโรคบางอย่างอาจจะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานขึ้นเช่น
ผู้ที่เป็นปอดบวม ไซนัสอักเสบ ท้องร่วงจากไข้ไทฟอยด์ จะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานกว่าปกติ
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองต้องให้ยากดภูมิน้อยกว่าคนปกติ
การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
ก่อนการรักษาแพทย์จะตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นเป็นการตรวจเพื่อประเมินระยะของโรคโรคประจำตัว โรคแทรกซ้อน เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งจะตรวจสิ่งต่อไปนี้
-การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อ HIV
-การตรวจหาภูมิ(HIV antibody test) ถ้าผู้ป่วยไม่เคยตรวจมาก่อน
-การตรวจหาเซลล์(CD4+ T-cell count): เพื่อจัดความรุนแรงของโรคHIV disease. จำนวนเซลล์ CD4 และ T lymphocytes จะช่วยในการจัดความรุนแรงของโรค
-การตรวจหาปริมาณเชื้อ(Serum HIV RNA (viral load):) เพื่อบอกพยากรณ์ของโรค, เพื่อประเมินว่าต้องรักษารีบด่วนหรือไม่
-การตรวจทางโลหิต
-การตรวจเลือดทั่วไป(Complete blood count, differential CBC) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-เกร็ดเลือด(Platelets) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางเคมี
-การตรวจน้ำตาล(Blood glucose) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไตและเกลือแร่(Electrolytes/BUN/creatinine) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐานและทราบการทำงานของไต
-การตรวจการทำงานของตับ กระดูก(ALT, AST, bilirubin:Albumin Alkaline phosphatase:) เป็นการตรวจตับและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไขมัน(Triglycerides, cholesterol) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจปัสสาวะ(Urine analysis) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางชีวะวิทยา
-โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STD cultures, gastrointestinal pathogens) หากมีข้อบ่งชี้
-การตรวจหามะเร็ง
-การตรวจมะเร็งปากมดลูก(Pap smear) สำหรับผู้หญิง
-การตรวจทางภูมิคุ้มกัน Toxoplasma IgG, Syphilis nontreponemal serology (VDRL or RPR), CMV IgG, hepatitis B surface antigen, hepatitis B, C IgG antibody
-การตรวจทางรังสี(RADIOLOGY)
-การตรวจ X-ray(Chest radiograph) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจสมรรถภาพปอด(PULMONARY FUNCTION STUDIES) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(ELECTROCARDIAGRAM) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจอื่นๆ(SCREENS FOR SPECIFIC DISEASES)
Cytomegalovirus (CMV)-- CMV IgG: consider if CMV-negative blood is available, in population with < 75% prevalence of CMV. If CMV negative, and transfusion becomes necessary, use CMV-negative blood products.
-ไวรัสตับอักเสบ บี(Hepatitis B -- antibodies, surface antigen) เพื่อให้วัคซีน การป้องกันการติดต่อ
-ไวรัสตับอักเสบ ซีHepatitis C -- antibody: ป้องกันการติดต่อเป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-ซิฟิลิส(Syphilis nontreponemal test) (RPR or VDRL): ถ้าหาก vdrl ให้ผลบวกต้องตรว FTA หรือ TPHA
-โรคหนองใน(Neisseria gonorrhea) เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Chlamydia: เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Toxoplasmosis -- toxo IgG: If negative, a solitary CNS lesion is unlikely to be toxoplasmosis
-วัณโรค(Tuberculosis) ถ้าการตรวจทางผิวหนังให้ผลบวกมากกว่า 5 มม.ต้อง x-ray )ปอด ตรวจเสมหะ เพาะเชื้อหาวัณโรค
จาก siamhealth
การตรวจ HIV สามารถทำได้หลายวิธีโดยมีความแม่นยำ และราคาต่างๆกัน
การครวจเลือดที่ให้ผลเร็วโดยใช้วิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) วิธีนี้ให้ผลเร็วมีความไวและมีความแม่นยำในการตรวมีความแม่นยำ(sensitivity and specificity of) 99.9%.หากให้ผลบวกต้องยืนยันการวินิจฉัยโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจวิธีนี้มีข้อควรระวังคือหลังจากได้รับเชื้อจะมีช่วงหนึ่งที่ตรวจเลือดยังไม่พบภูมิต่อเชื้อ HIV เราเรียกช่วงนี้ว่า window period ถ้าหากคนผู้นั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ร่วมเพศโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เราต้องรออีก 6 เดือนเพื่อเจาะเลือดอีกครั้ง ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวังคือเมื่อตรวจด้วยวิธี ELISA ให้ผลบวกแต่ผลการตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assay ให้ผลบวกหนึ่งแบนกรณีนี้อาจจะเกิดจาก window period, หรือติดเชื้อด้วยเชื้อ hiv อีกชนิดหนึ่ง เช่น HIV-2 หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น นอกจากนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine ก็อาจจะให้ผลบวกหลอก การตรวจเลือดหาภูมิหากผลเลือดบวกโดยที่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องทดสอบซ้ำอีกครั้ง
การตรวจปัสสาวะและเยื่อเมือกในปาก มีความแม่นยำและจำเพาะ 99.5 %หากให้ผลบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa
การตรวจเลือดด้วยตัวเอง วิธีการหยดเลือดไว้บนกระดาษแล้วส่งเข้าห้องปฏิบัติการ สามารถรายผลทางโทรศัพท์ มีจำหน่ายตามร้านขายยาแต่มีข้อที่ต้องระวังคือ
ไม่มีการให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ถ้าผลเลือดบวกผู้ป่วยควรจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวผู้ป่วยบางคนอาจจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองทั้งที่โรคนี้สามารถควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามได้ ถ้าผลเลือดลบควรจะได้รับคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ HIV
การทดสอบนี้อาจจะให้ผลบวกหลอกในผู้ป่วยบางรายเพราะไม่ได้มีการคักกรองกลุ่มเสี่ยงเข้าตรวจ
การตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยวิธี HIV RNA (viral load assay) จะตรวจกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นถูกเข็มฉีดยาจากผู้ป่วยตำ หรือร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้อโดยที่ไม่ได้ป้องกัน และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันในเลือด การตรวจนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้น แต่ก็มีข้อผิดพลาดกรณีที่พบเชื้อปริมาณน้อย การตรวจเลือดวิธีนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้นเราเรียกการติดเชื้อชนิดนี้ว่า Primary HIV infection ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในการให้ยาต้านไวรัส HIV
ประโยชน์ที่ผู้ที่ได้รับการตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV แบ่งได้เป็น
1.ผลเลือดบวกคือได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วยจะได้รับการประเมิน การวางแผนการรักษา การรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV รวมทั้งการติดเชื้อฉวยโอกาส
มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำรงชีวิตเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การงดบุหรี่ การอดแอลกอฮอร์ อาหาร
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อลดการติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช่นการมีเพศสัมพันธ์ การฉีดยาเข้าเส้น
ลดความวิตกกังวล
ลดการติดเชื้อจากแม่ไปลูก
2.ผลเลือดให้ผลลบคือไม่ได้รับการติดเชื้อ HIV
ผู้ที่ได้รับการตรวจก็จะสบายใจไม่ต้องวิตกกังวล
ได้รับคำแนะนำการป้องกันการติดเชื้อ HIV
ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์
ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่ไม่มีอาการ
อาการเนื่องจากการติดเชื้อ HIV มีได้หลายอย่างรูปแบบตั้งแต่ไม่มีอาการจนกระทั่งมีอาการอย่างอ่อนจนกระทั่งเป็นเอดส์เต็มขั้น และยาต้านไวรัสเอดส์ก็สามารถยับยังการเจริญเติบโตของเชื้อและป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส และลดอัตราการตายจากโรคแทรกซ้อน แต่การที่จะลดโรคแทรกซ้อนจะต้องตรวจวินิจฉัยให้เร็ว ผู้ป่วยทราบว่าตัวเองอยู่ในระยะไหนของโรค การค้นพบว่าติดเชื้อ HIV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรักษาหลายอย่าง เช่น
เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 200 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Pneumocystis carinii
เมื่อเซลล์ CD4 น้อยกว่า 50 cells/mm มีความจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส Mycobacterium avium complex (MAC)
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และมีผลบวกต่อเชื้อซิฟิลิส Syphilis จะต้องเจาะหลังตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อดูว่าเชื้อซิฟิลิสเข้าสมองหรือไม่
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV เมื่อทดสอบผิวหนังต่อเชื้อวัณโรคถ้าหากให้ผลมากกว่า 5 mm(คนปกติต้องมากกว่า 10 mm)จะต้องให้ยาป้องกันวัณโรค
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ทุกคนควรได้วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไวรัสตับอักเสบ บี
ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่จะได้รับสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
ผู้ที่มีอาการมักจะมีภูมิคุ้มกันบางส่วนถูกทำลาย การรักษาโรคบางอย่างอาจจะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานขึ้นเช่น
ผู้ที่เป็นปอดบวม ไซนัสอักเสบ ท้องร่วงจากไข้ไทฟอยด์ จะต้องให้ยาปฏิชีวนะนานกว่าปกติ
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองต้องให้ยากดภูมิน้อยกว่าคนปกติ
การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
ก่อนการรักษาแพทย์จะตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นเป็นการตรวจเพื่อประเมินระยะของโรคโรคประจำตัว โรคแทรกซ้อน เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งจะตรวจสิ่งต่อไปนี้
-การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อ HIV
-การตรวจหาภูมิ(HIV antibody test) ถ้าผู้ป่วยไม่เคยตรวจมาก่อน
-การตรวจหาเซลล์(CD4+ T-cell count): เพื่อจัดความรุนแรงของโรคHIV disease. จำนวนเซลล์ CD4 และ T lymphocytes จะช่วยในการจัดความรุนแรงของโรค
-การตรวจหาปริมาณเชื้อ(Serum HIV RNA (viral load):) เพื่อบอกพยากรณ์ของโรค, เพื่อประเมินว่าต้องรักษารีบด่วนหรือไม่
-การตรวจทางโลหิต
-การตรวจเลือดทั่วไป(Complete blood count, differential CBC) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-เกร็ดเลือด(Platelets) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางเคมี
-การตรวจน้ำตาล(Blood glucose) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไตและเกลือแร่(Electrolytes/BUN/creatinine) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐานและทราบการทำงานของไต
-การตรวจการทำงานของตับ กระดูก(ALT, AST, bilirubin:Albumin Alkaline phosphatase:) เป็นการตรวจตับและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจไขมัน(Triglycerides, cholesterol) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจปัสสาวะ(Urine analysis) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจทางชีวะวิทยา
-โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STD cultures, gastrointestinal pathogens) หากมีข้อบ่งชี้
-การตรวจหามะเร็ง
-การตรวจมะเร็งปากมดลูก(Pap smear) สำหรับผู้หญิง
-การตรวจทางภูมิคุ้มกัน Toxoplasma IgG, Syphilis nontreponemal serology (VDRL or RPR), CMV IgG, hepatitis B surface antigen, hepatitis B, C IgG antibody
-การตรวจทางรังสี(RADIOLOGY)
-การตรวจ X-ray(Chest radiograph) เป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-การตรวจสมรรถภาพปอด(PULMONARY FUNCTION STUDIES) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(ELECTROCARDIAGRAM) ตรวจเมื่อมีข้อบ่งชี้
-การตรวจอื่นๆ(SCREENS FOR SPECIFIC DISEASES)
Cytomegalovirus (CMV)-- CMV IgG: consider if CMV-negative blood is available, in population with < 75% prevalence of CMV. If CMV negative, and transfusion becomes necessary, use CMV-negative blood products.
-ไวรัสตับอักเสบ บี(Hepatitis B -- antibodies, surface antigen) เพื่อให้วัคซีน การป้องกันการติดต่อ
-ไวรัสตับอักเสบ ซีHepatitis C -- antibody: ป้องกันการติดต่อเป็นการตรวจทั่วไปและเป็นข้อมูลพื้นฐาน
-ซิฟิลิส(Syphilis nontreponemal test) (RPR or VDRL): ถ้าหาก vdrl ให้ผลบวกต้องตรว FTA หรือ TPHA
-โรคหนองใน(Neisseria gonorrhea) เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Chlamydia: เพาะเชื้อถ้ามีข้อบ่งชี้
-Toxoplasmosis -- toxo IgG: If negative, a solitary CNS lesion is unlikely to be toxoplasmosis
-วัณโรค(Tuberculosis) ถ้าการตรวจทางผิวหนังให้ผลบวกมากกว่า 5 มม.ต้อง x-ray )ปอด ตรวจเสมหะ เพาะเชื้อหาวัณโรค
จาก siamhealth



0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
Home