เรื่องเก่า ๆ ที่เล่า ซ้ำ ๆ ด้วยความหวังดี
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส hiv มีเป้าหมาย คือ
การควบคุมจำนวนเชื้อไวรัส hiv ในร่างกายให้มี"จำนวนน้อยที่สุดและนานที่สุด"
เป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกาย"สร้างภูมิคุ้มกัน"หรือ "CD 4" ขึ้นมาใหม่
จนอยู่ในระดับปกติ เพื่อให้ CD 4 ได้ทำหน้าที่ในการกำจัดและควบคุมเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นการป้องกันการป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคแทรกซ้อน
การรักษาด้วยยาต้านสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่
เลือกสูตรยาต้านอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ซึ่งแต่ละคนอาจได้รับสูตรยาที่เหมาะสมไม่เหมือนกันครับ
ยาต้านไวรัส hiv
ปัจจุบันยาต้านมีอยู่มากกว่า 20 ชนิด โดยแต่ละชนิดทำหน้าที่ในการขัดขวางกระบวนการ
เพิ่มของไวรัสในแต่ละขั้นตอนแตกต่างกันไป สามารถจัดได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่ม NRTI เช่น AZT, ddI, D4T, 3TC และ Abcavir
2.กลุ่ม NNRTI เช่น Nevirapine (NVP) และ Efavirenz (EFV)
3.กลุ่ม PI เช่น Saquinavir (SQV), Indinavir (IDV), Retonavir (RTV) และ Nelfinavir (NFV)
ยาดังกล่าวได้รับรอง อย.และอยู่ในรายการยาเพื่อรักษาขององค์กรอนามัยโลกแล้วครับ
สรุปปัจจุบันสูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพ
เน้น ณ เวลานี้นะครับ สูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อไวรัส hiv ที่เป็นมาตรฐาน
คือสูตรยาต้าน 3 ชนิด ขึ้นไปรวมกัน ซึ่งต้องเลือกจากกลุ่มยาต้านอย่างน้อย 2 กลุ่มขึ้นไป
ซึ่งอาจได้ผลนานกว่า 5 ปี ครับ
ไม่ควรกินยาต้านดังนี้ครับ
1.กินยาต้านเพียง 1 ชนิด เพราะเชื้อ hiv จะดื้อยาต้านนั้นภายใน 6 เดือน
2.หากกินยาต้าน 2 ชนิด ในกลุ่ม NRTI ภายใน 1-3 ปี เชื้อ hiv จะดื้อยา
หรืออาจจะไม่ได้ผลเลย หากผู้ป่วยมีระดับ CD 4 ต่ำมาก
ผลข้างเคียงของยาต้าน
1.AZT หรือซีโดวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผลต่อระบบเม็ดเลือด เกิดอาการซีด(หรือเลือดจาง) เม็ดเลือดขาวต่ำ เล็บดำ
*ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เบื่ออาหาร ปวดท้อง
*ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ
ปฎิกิริยาระหว่างยา
*ไม่ควรกินยานี้ร่วมกับยาพาราเซทตามอลนาน ๆ เพราะเพิ่มอัตราการเกิดเม็ดเลือดขาวต่ำครับ
*ผู้ที่มีอาการตับเสื่อมต้องลดขนาดยาลงครับ
3TC หรือ ลามิวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียนและวิงเวียนศรีษะ หรือผมร่วงได้ครับ
EFV หรือ Efavirenz หรือชื่อทางการค้า STOCRIN
ข้อแทรกซ้อนของยา
*มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการฝันร้าย เวียนศรีษะ เห็นภาพหลอนได้ โดยเฉพาะใน
สัปดาห์แรกของการกินยา
*ผื่น
*ระดับการทำงานในตับสูงขึ้น
D4T หรือ สตาวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ชาปลายมือ ชาปลายเท้า ไขมันย้ายที่ แก้มตอบ
ddI หรือ ไดดาโนซีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ท้องเสีย
*ชาปลายมือปลายเท้า
*ตับอ่อนอักเสบ
Abacavir
ข้อแทรกซ้อนของยา
*มีผื่นแพ้เกิดขึ้น
NVP หรือ เนวิรราปีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา
*ตับอักเสบ
IDV หรือ อินดินาเวียร์ หรือ คริกซิเวน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ปวดเมื่อยตัว
*นิ่วทางเดินปัสสาวะ (ให้ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร )
SQV หรือ ซาควินาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา พบน้อยมาก
RTV หรือ ริโทนาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง
*ชาที่ลิ้นหรือรอบริมฝีปาก
NFV หรือเนลฟินาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา พบน้อย
*ท้องเสีย
การที่ยาต้านจะมีผลข้างเคียงของยาหรือข้อแทรกซ้อนของยาต้านนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ บางคนมีผลมากบ้างน้อยบ้าง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนได้รับยาต้านที่ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่
การแยกระหว่างการแพ้ยาต้านกับผลข้างเคียงของยาต้าน
การแพ้ยาต้าน
จะมีลักษณะอาการดังนี้ครับ
*มีไข้สูง, มีผื่นลมพิษ ถ้าแพ้มากถึงกับผิวหนังดำไหม้ได้ครับ, เยื่อบุอ่อนพอง
เช่น เยื่อบุตา เยื้อบุในปาก, หายใจขัดหรือหอบ เป็นต้นครับ
การเกิดผลข้างเคียงของยาต้าน
1.มีผลไม่รุนแรง คือ อาการที่ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่จะรบกวนทำความรำคาญ
กับการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นในช่วงระยะแรก ๆ ของการเริ่มกินยาต้านและจะเริ่มดีขึ้น
เมื่อผ่านไปได้สัก 2 เดือน เช่นอาการปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด
นอนไม่หลับ ฝันร้าย เป็นต้น
2.มีผลรุนแรง คือ ทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าไม่รีบแก้ไข เช่น อาการซีด ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ
ชาปลายมือปลายเท้า นิ้วในไต อาการดังกล่าวมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่เริ่มกินยาต้าน เมื่อมี
ระดับ CD 4 ต่ำมาก แล้วครับ
3.อาการผลข้างเคียงระยะยาว คือผู้ที่กินยาต้านเป็นเวลานาน ๆ ตั้งแต่ 3-4 ปี
เช่น น้ำตาลในเลือดสูง เป็นอาการของเบาหวาน หิวน้ำบ่อย ๆ ปัสสาวะบ่อย
ไขมันกระจายตัวผิดปกติ หรือที่เราเรียกว่าไขมันย้ายที่ มีลักษณะลงพุง ไขมันพอกต้นคอ
ไขมันพอกหน้าอก หน้าตอบ แขนขาลีบ เป็นต้น
ถ้าทุกคนที่ติดเชื้อพอจะทราบแค่นี้ก็เข้าใจ hiv และเอดส์แล้วครับ
สำหรับผู้ที่ยังคงมีระดับ CD 4 สูงกว่า 200 cell/ml ก็หมั่นไปตรวจเลือดดูความเป็นไป
หรือการดำเนินของโรค โดยตรวจระดับ CD 4 ทุก 3 เดือนครับ หากเริ่มลดลงต่ำก็ตรวจ
ไวรัสโหลดทุก 6 เดือนครับ ทำชีวิตให้ง่าย ๆ สบาย ๆ กินอาหารที่สุกสะอาดให้ครบ 5 หมู่
จะยากหน่อยแต่ไม่ต้องซีเรียด แต่ต้องให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้ง 3 มื้อครับ
พักผ่อนนอนหลับไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายตามสภาพร่างกายสม่ำเสมอ
ไปพบแพทย์ตามนัด กินยาให้ตรงเวลา ทำจิตใจให้สดใสร่าเริงครับ
การควบคุมจำนวนเชื้อไวรัส hiv ในร่างกายให้มี"จำนวนน้อยที่สุดและนานที่สุด"
เป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกาย"สร้างภูมิคุ้มกัน"หรือ "CD 4" ขึ้นมาใหม่
จนอยู่ในระดับปกติ เพื่อให้ CD 4 ได้ทำหน้าที่ในการกำจัดและควบคุมเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นการป้องกันการป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคแทรกซ้อน
การรักษาด้วยยาต้านสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่
เลือกสูตรยาต้านอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ซึ่งแต่ละคนอาจได้รับสูตรยาที่เหมาะสมไม่เหมือนกันครับ
ยาต้านไวรัส hiv
ปัจจุบันยาต้านมีอยู่มากกว่า 20 ชนิด โดยแต่ละชนิดทำหน้าที่ในการขัดขวางกระบวนการ
เพิ่มของไวรัสในแต่ละขั้นตอนแตกต่างกันไป สามารถจัดได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่ม NRTI เช่น AZT, ddI, D4T, 3TC และ Abcavir
2.กลุ่ม NNRTI เช่น Nevirapine (NVP) และ Efavirenz (EFV)
3.กลุ่ม PI เช่น Saquinavir (SQV), Indinavir (IDV), Retonavir (RTV) และ Nelfinavir (NFV)
ยาดังกล่าวได้รับรอง อย.และอยู่ในรายการยาเพื่อรักษาขององค์กรอนามัยโลกแล้วครับ
สรุปปัจจุบันสูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพ
เน้น ณ เวลานี้นะครับ สูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อไวรัส hiv ที่เป็นมาตรฐาน
คือสูตรยาต้าน 3 ชนิด ขึ้นไปรวมกัน ซึ่งต้องเลือกจากกลุ่มยาต้านอย่างน้อย 2 กลุ่มขึ้นไป
ซึ่งอาจได้ผลนานกว่า 5 ปี ครับ
ไม่ควรกินยาต้านดังนี้ครับ
1.กินยาต้านเพียง 1 ชนิด เพราะเชื้อ hiv จะดื้อยาต้านนั้นภายใน 6 เดือน
2.หากกินยาต้าน 2 ชนิด ในกลุ่ม NRTI ภายใน 1-3 ปี เชื้อ hiv จะดื้อยา
หรืออาจจะไม่ได้ผลเลย หากผู้ป่วยมีระดับ CD 4 ต่ำมาก
ผลข้างเคียงของยาต้าน
1.AZT หรือซีโดวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผลต่อระบบเม็ดเลือด เกิดอาการซีด(หรือเลือดจาง) เม็ดเลือดขาวต่ำ เล็บดำ
*ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เบื่ออาหาร ปวดท้อง
*ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ
ปฎิกิริยาระหว่างยา
*ไม่ควรกินยานี้ร่วมกับยาพาราเซทตามอลนาน ๆ เพราะเพิ่มอัตราการเกิดเม็ดเลือดขาวต่ำครับ
*ผู้ที่มีอาการตับเสื่อมต้องลดขนาดยาลงครับ
3TC หรือ ลามิวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียนและวิงเวียนศรีษะ หรือผมร่วงได้ครับ
EFV หรือ Efavirenz หรือชื่อทางการค้า STOCRIN
ข้อแทรกซ้อนของยา
*มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการฝันร้าย เวียนศรีษะ เห็นภาพหลอนได้ โดยเฉพาะใน
สัปดาห์แรกของการกินยา
*ผื่น
*ระดับการทำงานในตับสูงขึ้น
D4T หรือ สตาวูดีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ชาปลายมือ ชาปลายเท้า ไขมันย้ายที่ แก้มตอบ
ddI หรือ ไดดาโนซีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ท้องเสีย
*ชาปลายมือปลายเท้า
*ตับอ่อนอักเสบ
Abacavir
ข้อแทรกซ้อนของยา
*มีผื่นแพ้เกิดขึ้น
NVP หรือ เนวิรราปีน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา
*ตับอักเสบ
IDV หรือ อินดินาเวียร์ หรือ คริกซิเวน
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ปวดเมื่อยตัว
*นิ่วทางเดินปัสสาวะ (ให้ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร )
SQV หรือ ซาควินาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา พบน้อยมาก
RTV หรือ ริโทนาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง
*ชาที่ลิ้นหรือรอบริมฝีปาก
NFV หรือเนลฟินาเวียร์
ข้อแทรกซ้อนของยา
*ผื่นแพ้ยา พบน้อย
*ท้องเสีย
การที่ยาต้านจะมีผลข้างเคียงของยาหรือข้อแทรกซ้อนของยาต้านนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ บางคนมีผลมากบ้างน้อยบ้าง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนได้รับยาต้านที่ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่
การแยกระหว่างการแพ้ยาต้านกับผลข้างเคียงของยาต้าน
การแพ้ยาต้าน
จะมีลักษณะอาการดังนี้ครับ
*มีไข้สูง, มีผื่นลมพิษ ถ้าแพ้มากถึงกับผิวหนังดำไหม้ได้ครับ, เยื่อบุอ่อนพอง
เช่น เยื่อบุตา เยื้อบุในปาก, หายใจขัดหรือหอบ เป็นต้นครับ
การเกิดผลข้างเคียงของยาต้าน
1.มีผลไม่รุนแรง คือ อาการที่ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่จะรบกวนทำความรำคาญ
กับการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นในช่วงระยะแรก ๆ ของการเริ่มกินยาต้านและจะเริ่มดีขึ้น
เมื่อผ่านไปได้สัก 2 เดือน เช่นอาการปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด
นอนไม่หลับ ฝันร้าย เป็นต้น
2.มีผลรุนแรง คือ ทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าไม่รีบแก้ไข เช่น อาการซีด ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ
ชาปลายมือปลายเท้า นิ้วในไต อาการดังกล่าวมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่เริ่มกินยาต้าน เมื่อมี
ระดับ CD 4 ต่ำมาก แล้วครับ
3.อาการผลข้างเคียงระยะยาว คือผู้ที่กินยาต้านเป็นเวลานาน ๆ ตั้งแต่ 3-4 ปี
เช่น น้ำตาลในเลือดสูง เป็นอาการของเบาหวาน หิวน้ำบ่อย ๆ ปัสสาวะบ่อย
ไขมันกระจายตัวผิดปกติ หรือที่เราเรียกว่าไขมันย้ายที่ มีลักษณะลงพุง ไขมันพอกต้นคอ
ไขมันพอกหน้าอก หน้าตอบ แขนขาลีบ เป็นต้น
ถ้าทุกคนที่ติดเชื้อพอจะทราบแค่นี้ก็เข้าใจ hiv และเอดส์แล้วครับ
สำหรับผู้ที่ยังคงมีระดับ CD 4 สูงกว่า 200 cell/ml ก็หมั่นไปตรวจเลือดดูความเป็นไป
หรือการดำเนินของโรค โดยตรวจระดับ CD 4 ทุก 3 เดือนครับ หากเริ่มลดลงต่ำก็ตรวจ
ไวรัสโหลดทุก 6 เดือนครับ ทำชีวิตให้ง่าย ๆ สบาย ๆ กินอาหารที่สุกสะอาดให้ครบ 5 หมู่
จะยากหน่อยแต่ไม่ต้องซีเรียด แต่ต้องให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้ง 3 มื้อครับ
พักผ่อนนอนหลับไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายตามสภาพร่างกายสม่ำเสมอ
ไปพบแพทย์ตามนัด กินยาให้ตรงเวลา ทำจิตใจให้สดใสร่าเริงครับ
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น
Home