วันจันทร์, เมษายน ๒๓, ๒๕๕๐

ประโยชน์อาหารเสริมสุขภาพ

อาหารสุขภาพ ช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรค สามารถรับ

ประทานได้ในคนปกติ รวมทั้งคนป่วย เพราะอาจลดความเสี่ยงในโรคที่อาจจะเกิดร่วมขึ้น

หรือป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหรือทำให้สุขภาพดีขึ้น ได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าผู้ที่

ไม่ได้รับประทาน อาหารสุขภาพทุกชนิดของกิฟฟารีน มีงานวิจัยถึงคุณประโยชน์อย่างชัดเจน

และสามารถแนะนำได้ในหลายโรคด้วยกัน
อาหารสุขภาพที่สามารถแนะนำได้ในโรคหรือภาวะต่างๆ
อาหารสุขภาพ สำหรับทุกคน
-แคลดีแมกซ์
-โคลีนบี
-ลูทีน ซีแซนทีน LZ vit
-ทับทิม
โรคเบาหวาน
-สารสกัดใบบัวบก
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-โคลีน บี
-สารสกัดองุ่น หรือ เกรปซีอี
-กระเทียม
-น้ำมันปลา
-พริมโรส
อาหารสุขภาพดังกล่าวจะไม่ลดน้ำตาลในเลือด แต่มีประโยชน์ชัดเจนในทางตรงและอ้อม

ต่อโรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง(สูงกว่า 140/90 อาจมีอาการ ปวดหัวหรือไม่ก็ได้)
-น้ำมันปลา
-กระเทียม
-เห็ดหลินจือ
-ทับทิม น้ำหรือเม็ดก็ได้
-โสม
โรคความดันโลหิตต่ำ(ต่ำกว่า 90/60 โดยประมาณ ร่วมกับอาการหน้ามืดง่ายเวียนหัวเมื่อ

ลุกขึ้นยืน)
-เกรปซีอี แม้มีงานวิจัยว่าสารสกัดองุ่นกับวิตามินซี อาจเพิ่มความดันเล็กน้อยแต่ก็ไม่มาก

และไม่แน่นอน โรคความดันต่ำรักษาง่าย คือ ออกกำลังกาย เช่น กระโดดตบมือ วันละ 5-10

นาที โรคนี้จะหายไป
โรคไขมันในเลือดสูง
-น้ำมันปลา
(ลดไตรกลีเซอไรด์เป็นหลัก)
-กระเทียม
(ลดได้ทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล)
-กลูโคแมนแนน
(ลดได้ทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล)
โรคมะเร็ง
-เห็ดหลินจือ
มีงานวิจัยใช้ร่วมรักษามะเร็งได้ทุกชนิด จะห้ามถ้ากรณีมีตับอักเสบร่วมด้วย หรือ มีเลือดออก
-ชาเขียว
ยับยั้ง มะเร็งหลอดอาหาร กระเพราะอาหาร ต่อมลูกหมาก เต้านม ช่องปาก และอาจจะลด

มะเร็งปากมดลูก
-กระเทียม
มะเร็งกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่
-ขมิ้น ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม รังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเม็ด

เลือดขาว มะเร็งละไส้ และอาจลดมะเร็งปากมดลูก ด้วยการยับยั้งไวรัสหูด HPV
-ทับทิม ยับยั้ง เซลล์มะเร็งเต้านม
-ใบบัวบก ยับยั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคเหน็บชา
-โคลีน บี
บำรุงสมอง และเส้นประสาท
-สไปรูไลน่า เหมาะสำหรับชาแบบหนาๆไม่รู้สึกซึ่งสาเหตุมักมาจากขาดวิตามินบี
-แคลดีแมกซ์ เหมาะสำหรับชาซ่าๆเหมือนเป็นเหน็บ ซึ่งเกิดจากการขาดแคลเซียม หรือ

เลือดไหลเวียนไม่ดี และกรณีนี้อาจจะเพิ่มอาหารเสริมประเภทต้านอนุมูลอิสระ หรือลด

ไขมันในเลือดสูง เช่น สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี) กระเทียม น้ำมันปลา พริมโรส แปะก๊วย

ทับทิม
โรคเอดส์
ปัจจุบันมีงานวิจัยว่ามีสมุนไพรและอาหารสุขภาพมากมายที่ยับังไวรัสเอดส์ได้ เช่น เห็ด

หลินจือ กระเทียม ขมิ้นชัน ใบบัวบก สไปรูไลน่า
บุคคลทั่วไป และ ผู้สูงอายุ
-โคลีน บี แคลดีแมกซ์
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-ไฟโตวิท(สารสกัดรวมจาก ผัก)
-สารสกัดองุ่น กระเทียม ขมิ้นชัน น้ำทับทิม แกรนเดอร์ โสม เห็ดหลินจือ สไปรูไลน่า
โรคหัวใจ
-ทับทิม
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-สารสกัดรวมจากผัก(ไฟโตวิท)
อัมพาต อัมพฤกษ์
-โคลีน บี
-สไปรูไลน่า
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-ทับทิม
-สารสกัดรวมจากผัก(ไฟโตวิท)
-แคลดีแมก
เสริมสมรรถภาพทางเพศ
-กวาวเครือขาว(หญิง)แต่ต้องตรวจภายใน และ เต้านมและการทำงานของตับว่าทุกอย่าง

ปกติก่อนเสมอ
-กระเทียม(ทั้งชาย และหญิง)
-โสม(ชาย)
-แปะก๊วย(ชาย)
-น้ำทับทิม(ตำราโบราณในสตรี และในสัตว์ทดลอง เสริมในชาย)
ภูมิแพ้อากาศ หอบ หืด หวัด ไซนัส
-เอคินาเซีย
มีงานวิจัยเรื่องป้องกันหวัด
-กระเทียม
(ช่วยขยายหลอดลม ในหอบหืด)
-โสม (ช่วยขยายหลอดลมใน ถุงลมโป่งพอง COPD มักพบในคนสูบบุหรี่)
ภูมิแพ้ผิวหนัง
-พริมโรส
ปวดข้อ ปวดเข่า
-แคลดีแมก
-น้ำมันปลา ช่วยในโรค เข่าเสื่อม รูมาตอยด์
-พริมโรส ช่วยในโรค เข่าเสื่อม รูมาตอยด์
โลหิตจาง
-สไปรูไลน่า(โลหิตจางจากการขาดเหล็ก ไม่เหมาะในทาลัสซีเมีย รุนแรงที่ต้องได้รับการให้

เลือดเป็นประจำ)
-โคลีน บี (โลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี)
-ขมิ้นชัน (ทาลัสซีเมีย)
-สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี) ช่วย ทาลัสซีเมีย ดีขึ้น
บำรุงไต
-เห็ดหลิดจือ
-สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี)
-น้ำมันปลา(เหมาะสำหรับไตอักเสบชนิดภูมิต้านทาน lg A)
บำรุงตับ
-โคลีน บี
-ทับทิม
-ขมิ้น(ยับยั้ง มะเร็งตับ)
-พาหะไวรัส ตับอักเสบ บี
-ขมิ้นชัน(เคอคิวมิน ในขมิ้นยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ)
-โสม(ป้องกันมะเร็งตับด้วยกลไกยับยั้ง Alfa toxin )
บำรุงตา
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit) มีงานวิจัยว่าลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอตาเสื่อม
-น้ำเบอรี่ มีงานวิจัยว่า ลดความเสี่ยงต้อกระจก และ จอตาเสื่อม
-เกรปซีอี มีวิตามิน เอ อี ช่วยเรื่องตาแห้ง และ เป็นโรค เกร็ดกระดี่ จากขาดวิตามินเอ
เด็ก
-แคลเซียม แคลซีน หรือ แคลดีแมกซ์
-น้ำมันปลา
-โคลีนบี
-เบรนนี่(มี DHA บำรุงสมอง)
-พรีไบโอนี่(มีโอลิโกฟลุตโตส เพิ่มแลคโตแบซิลไล)
-สไปรูไลน่า ในแง่ที่มีสารอาหารมาก
-เม็ดอมมะนาว เอคินาเซีย
สตรีวัยทอง
-กวาวเครือขาว
-แคลดีแมกซ์
-โคลีนบี
-แอลซีวิต
-ขมิ้น
-ทับทิม
-น้ำมันปลา หรือ พริมโรส
-สาหร่ายสไปรูไลน่า
-โสม
เพิ่มความแข็งแรง สดชื่น กระชุ่มกระชวย ภูมิต้านทาน
-โสม
-เห็ดหลินจือ
-น้ำทับทิม
-สไปรูไลน่า
-ไฟโตวิท
นิ่วในถุงน้ำดี
-แนะนำกลูโคแมนแนน
ลดน้ำหนัก
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-น้ำมันดอกคำฝอย(CLA 900)
-สูตรเร่งรัด โปรตีน(ซเลนเดอรีน โปรตีน) ไฟเบอรีน กลูโคแมนแนน
-มะขามแขก(ถือเป็นยาลดน้ำหนักในทางการแพทย์แผนไทย)

วันอังคาร, มกราคม ๒๓, ๒๕๕๐

สมุนไพรป้องกันโรค

ชื่อภาษาไทย ลูกใต้ใบ
ชื่อภาษาอังกฤษ Egg Woman
ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus amarus Schum,& Thonn. วงศ์ EUPHORBIACEAE
ชื่ออื่น -
ถิ่นกำเนิด -
รายละเอียด สารเคมีที่พบ มี Potassium, phyllanthin, hypophyllanthin
สรรพคุณ ลดอาการโรคตับอักเสบ แก้ไข้ ดีซ่าน

พบว่าสารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ของ HIV – 1 ได้ หลังจากที่ได้ทำการแยกด้วยวิธีทางโครมาโตกราฟี พบว่าสารที่ออกฤทธิ์ได้แก่สาร repandusinic acid A monosodium saltโดยมีค่า ID50เท่ากับ0.05 m M(1)


ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ Androgrphis paniculata Wall.ex Nees.
ชื่อท้องถิ่น ฟ้าทะลาย น้ำลายพังพอน (กรุงเทพฯ) หญ้ากันงู (สงขลา) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลุม (โพธาราม) สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง)
ลักษณะของพืช ฟ้าทลายโจรเป็นพืชล้มลุก สูง 1-2 ศอก ลำต้นสี่เหลี่ยม แตกกิ่งเล็กด้านข้างจำนวนมาก ใบสีเขียว ตัวใบรียาว ปลายแหลม ดอกขนาดเล็ก สีขาว มีรอยกระสีม่วงแดง ฝักคล้ายฝักต้อยติ่ง เม็ดในสีน้ำตาลอ่อน ปลูกโดยใช้เมล็ดขึ้นง่าย
ส่วนที่เป็นยา ใบ
รสและสรรพคุณยาไทย รสขม
ประโยชน์ทางยา ฟ้าทลายโจร เป็นยาที่ประเทศจีนให้ความสนใจค้นคว้าข้อมูล และพัฒนารูปแบบมาก มีฤทธิ์รักษาโรคติดเชื้อได้หลายโรค สารสำคัญ คือ แอนโดรแกรฟโฟไลด์ (andrographolide) และได้ปรับปรุงเป็นยาเม็ดและยาฉีด ในประเทศไทยมีผู้สนใจมากขึ้น และเริ่มมีการใช้ในโรงพยาบาลอำเภอหลายแห่ง ที่สำคัญใช้รักษาอาการท้องเดิน และอาการเจ็บคอ

พบว่าสาร dehydroandrographolide succinic acid monoester ซึ่งสังเคราะห็ได้จากสาร andrographolide จากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV –1 ในหลอดทดลองที่ความเข้มข้น 2.0 m g/ml นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV -2 ด้วย ที่ความเมข้นที่ยังไม่เป็นพิษต่อเซลล์ (subtoxic)สารนี้สามารถรบกวนการรวมตัวของเซลล ์ที่มีเชื้อ HIV (HIV-induced cell fusion ) และรบกวนการเกาะของเชื้อHIV บน H9 cell ได้ (2)
จากการศึกษาทางคลินิคพบว่าคนไข้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 16 คน ได้รับยานี้เป็นเวลา 9 สัปดาห์ คนไข้ครึ่งหนึ่งมีจำนวน CD4 cell count เพิ่มขึ้น 31% และปริมาณของไวรัสในเลือดลดลง 38% (3) นอกจากนี้สาร androapholide ในฟ้าทะลายโจรยังมีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วย (4)


ขมิ้นชัน


ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn. วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่อท้องถิ่น : ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นป่า ขมิ้นทอง ขมิ้นดี ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น หมิ้น (ใต้) ตายอ (กะเหรียง-กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด กลิ่นหอม แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม ท้องร่วง รักษาโรคกระเพาะอาหาร

พบว่าสารสีเหลือง curcumin ในขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ proteaseของ HIV-1 และ HIV 2 โดยมีค่า IC50100 m M และ 250 m M ตามลำดับ การเตรียมสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง curcumin และ boron จะทำให้ได้สารที่มีฤทธิ์แรงขึ้นมากโดยมีค่า IC เพียง 6 m M เท่านั้น (5) นอกจากนี้ยังพบว่า curcumin ยังสามารถยับยั้งเอนไซม์ integrase ของเชื้อ HIV-1 โดยมีค่า IC 50 40 m M (6) ดังนั้นจึงได้มีการนำcurcumin ไปทดลองทางคลินิคในผู้ป่วยเอดส์อยู่ในขณะนี้



เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ
เป็นสมุนไพรที่เป็นยาอายุวัฒนะที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายเกิดความสมดุล โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบไหลเวียนของโลหิตระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ ทางเดินอาหารอักเสบกระเพาะอาหารมีกรดมากเกินไป เบื่ออาหาร ท้องผูก ริดสีดวงทวารระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบ หอบหืด ภูมิแพ้ ไอเรื้อรัง ริดสีดวงจมูกระบบไหลเวียนของโลหิต ได้แก่ โรคที่เกิดจากการมีคลอเรสเตอรอลสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดหลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง-ต่ำ เบาหวาน หัวใจ รอบเดือนไม่ปกติ ไตอักเสบ ปวดหัวข้างเดียวเครียด อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะมีบุตรยาก


พบว่าเมื่อแยกสารสกัดด้วยน้ำของเห็ดหลินจือออกเป็น 2 ส่วนคือ สารสกัดส่วนที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง(HMF) และสารสกัดส่วนที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (LMF) เมื่อนำไปทดสอบผลการยับยั้งการทำลายเซลล์ของ HIV 1 ใน human T lymphoblastold cell line (CEM) พบว่าสารสกัดที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (LMF) มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ HIV –1 ได้ผลดีโดยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายในช่วงแบ่งตัวของไวรัส และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ (7) นอกจากนี้ยังพบสาร lanostane-type triterpenes อีก 2 ชนิด คือ lucidumal A และ ganoderic acid beta ซึ่งได้จากสปอร์ของเห็ดหลินจือ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ protease ของ HIV-1 โดยมีค่า IC 50 m M (6) และยังพบอีกว่าในเห็ดหลินจือ ยังมีสารสำคัญที่ช่วยในการ เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายและรักษาอาการภูมิแพ้ ตุ่มคันตามผิวหนังดังนี้
1. การเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย สารสำคัญดังกล่าวมีชื่อว่า เบต้าดีกลูแคน (Beta-D-Glucan)และ โพลีเซ็คคาร์ไรด์ (Polysaccharide) อื่นๆ ซึ่งสารเหล่านี้จะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด บี-เซลล์ (B-Cells) และ ที-เซลล์ (T-Cells) ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของสาร อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin)และสารอินเตอร์ลิวคิน (lnterleukin ) มีผลในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันโรค (lmmunomodulation)เมื่อทำการทดลองในสัตว์ก็ พบว่าความสามารถในการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันนี้ มีผลต่อเนื่องในการต่อต้านสารแพ้( Antiallergy ) และการต่อต้านเชื้อไวรัส (Antivirus ) นอกจากนี้ยังมีข้อมูลทางการแพทย์ในปี พ.ศ. 2533 คณะแพทย์ไทยจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้รายงานผลการวิจัยการใช้เห็ดหลินจือที่ได้ผลในการเพิ่มภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโรคเอดส์ ในที่ประชุมโรคเอดส์นานาชาติครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ (8)


2. ป้องกันและรักษาอาการภูมิแพ้ ตุ่มผื่นคันตามผิวหนังพบว่าภายในเห็ดหลินจือมี กรดการ์โนเดริค(Ganoderic) C1, C2, D–K, R- Z) กรดไขมันชนิดโอเลอิค (Oleic acid ) และ สารไซโคลอ๊อกต้าซัลเฟอร์(Cycloooctasulfur ) เป็นตัวยับยั้งการหลั่งของสารฮีสตามิน ( Histamina – Release inhition activity ) ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ (8)




มะระขี้นก


ชื่ออังกฤษ Bitter Cucumber


ส่วนที่ใช้ทำยา เนื้อผลอ่อน


สรรพคุณและวิธีใช้ เจริญอาหาร บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม และตับ ขับพยาธิ น้ำคั้นจากผลมะระเป็นยาระบายอ่อน ๆ อมแก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย ผลมะระอ่อนใช้รับประทานเป็นยาเจริญอาหาร โดยการต้มให้สุกรับประทานกับน้ำพริก ผลมะระสุกห้ามรับประทานเพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน


น้ำมะระขี้นก มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา สรรพคุณน้ำคั้นผลมะระช่วยเจริญอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ แก้อาการข้ออักเสบ บำรุงน้ำดี


พบว่าในเมล็ดแก่ของมะระขี้นก มีโปรตีน TBG-P 29 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV โดยการยับยั้งเอนไซม์ revere transcriptase (9) นอกจากนี้ผลอ่อนของมะระขี้นกยังใช้เป็นยาเจริญอาหาร รักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ได้ดีมีการทดลองทางคลินิคจากจำนวนผู้ป่วย 28 คน พบว่ามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นรู้สึกแข็งแรงขึ้น 28 คน =100%น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 22 คน = 78.5% ลดลง 6 คน = 21.43% (11)

สรุปสารสำคัญของสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดใช้ยับยั้งเชื้อ HIV (AIDS) และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรครวมถึงใช้รักษาโรคตามอาการมีดังนี้

1. ลูกใต้ใบ สาร repandusinic acid A monosodium salt แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV (AIDS) โดยยับยั้งHIV reverse trancriptase (1) นอกจากนี้ในทางแผนโบราณยังใช้รักษาโรคเรื้องรัง แก้ไข ้แก้ท้องเสีย ฯลฯ

2. ฟ้าทะลายโจร สาร dehydroandrograholide succinic acid monoester แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV(AIDS) โดยรบกวนการรวมตัวของเซลล์ที่มีเชื้อ HIV (HIV-induced cell fusion ) และรบกวนการเกาะของเชื้อ HIVบน H9 cell (2) และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้ (4) นอกจากนี้ในทางแผนโบราณยังใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น แก้ไข ้แก้ท้องเสีย,แก้เจ็บคอ ฯลฯ

3. ขมิ้นชัน สาร curcumin แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV (AIDS) โดยยับยั้ง HIV- integrase,protease (5,6)ในทางแผนโบราณยังใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อรังเช่น แก้ท้องอืด,ท้องเฟ้อ ลดอาการโรคกระเพาะอักเสป ฯลฯ

4. เห็ดหลินจือ สารLMF แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV (AIDS) โดยมีฤทธิ์ป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายโดยไวรัส และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค,ลดอาการตุ่มคันตามผิงหนัง (7,8) ในทางแผนโบรณจะใช้เห็ดหลินจือบำรุงร่างกาย,รักษาโรคภูมิแพ้,ลดอาการตุ่มคันตามผิวหนัง ฯลฯ

5. มะระขี้นก โปรตีน TBG-P29 ในเมล็ดแก่แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ HIV (AIDS) โดยยับยั้งเอนไซม์ reversetranscriptase (9)) ผลดิบยังใช้เป็นยารักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ติดเชื้อเอดส์ได้อีกด้วย (11)


จากการวิเคราะห์ข้อมูล สารสำคัญของสมุนไพรทั้ง 5 ชนิด นี้จะเห็นได้ว่า หากมีการนำมาใช้ร่วมกัน การออกฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV (AIDS) น่าจะเป็นไปอย่างครบวงจรได้เช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน รวมถึงการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคและรักษาโรคแทรกซ้อนตามอาการได้หลายชนิด ประกอบกับสมุนไพรเหล่านี้เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายเชื่อว่าน่าจะเป็นความหวังใหม่หรือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV (AIDS) ทั้งนี้ยังต้องทำการทดลองผลทางคลินิคกันต่อไป


สมุนไพรเป็นยาที่ใช้กันมานาน และเป็นที่ยอมรับว่าใช้รักษาโรคบางอย่างได้ เชื่อว่าภูมิปัญญาโบราณนี้น่าจะใช้ได้กับโรคที่ทันสมัยเช่นโรคเอดส์

วันอาทิตย์, ธันวาคม ๑๗, ๒๕๔๙

ป้องกันไข้หวัด

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงทำให้คนเป็นหวัดกันมากขึ้น รู้สึกว่าไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงไอจามขานรับกันเป็นทอดๆ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเลย ทางที่ดีเรามาหาทางป้องกันโรคหวัดกันตั้งแต่ต้นดีกว่า

อันดับแรก ล้าง มือบ่อย เพราะว่าไวรัสหวัดหรือไข้หวัดใหญ่นั้น มักจะติดต่อโดยทางตรง บางคนใช้มือปิดปากขณะจาม แล้วก็เอามือไปจับโทรศัพท์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ หรือทำครัวต่อ ก็เป็นการพาเชื้อโรคไปยังสิ่งอื่น เชื้อโรคพวกนี้มีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วโมง บางกรณีอยู่ได้ถึงหลายสัปดาห์ พอคนอื่นมาหยิบจับสิ่งของนั้นต่อไปก็ได้รับเชื้อโรค ดังนั้น การล้างมือบ่อยๆ จึงเป็นการป้องกันหวัดได้

ข้อ 2 อย่าใช้มือปิดปากขณะจามและไอ แต่ให้ใช้กระดาษทิชชูรองไว้อีกชั้นหนึ่ง เพราะถ้าเราใช้มือเปล่าปิดปากขณะไอจาม เชื้อโรคก็ยังจะติดอยู่ที่มือ และส่งผ่านเชื้อโรคต่อไปให้คนอื่นได้ ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าจะจามหรือไอก็ให้รีบดึงทิชชูมาไว้ใกล้ตัว ใช้เสร็จแล้วทิ้งทันที แต่ถ้าหากระดาษทิชชูไม่ทันก็ต้องหันหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีคนอยู่ใกล้

ข้อ 3 อย่าใช้มือสัมผัสใบหน้า เนื่องจากไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่นั้นจะเข้าสู่ร่างกายคนเราผ่านทางตา จมูกหรือปาก การใช้มือจับใบหน้าจึงเป็นหนทางหลักที่คนเราจะติดหวัดกัน

ข้อ 4 ดื่มน้ำมากๆ เขาให้คำอธิบายว่า การดื่มน้ำจะช่วยชะล้างระบบในร่างกายให้สะอาด ขับพิษ ให้ความชุ่มชื่น โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำให้ได้ วันละ 8 แก้ว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้รับน้ำเพียงพอหรือยัง ก็ให้สังเกตสีของปัสสาวะถ้าสีใสก็แสดงว่าใช้ได้ แต่ถ้าสีเหลืองเข้มแสดงว่ายังต้องการน้ำอีกมาก

ข้อ 5 เข้าเซาน่า แม้นักวิจัยจะยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนนักว่าเซาน่าป้องกันหวัดได้อย่างไร แต่ การศึกษาของเยอรมันเมื่อปี 2532 พบว่า คนที่อบไอน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เซาน่าถึงครึ่งหนึ่ง พอจะอธิบายได้ว่าการหายใจเอาอากาศร้อนเข้าไปทำให้ไวรัสหวัดทนไม่ได้

ข้อ 6 อยู่ในที่มีอากาศสดชื่น การได้รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็น

วันจันทร์, ธันวาคม ๐๔, ๒๕๔๙

ท่านอนให้หัวใจเต้นสะดวก

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปนิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้น คอควรอยู่ในแนวเดียว กันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่ สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย

นพ.ชนินทร์กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น

วันเสาร์, ธันวาคม ๐๒, ๒๕๔๙

วัคซีนป้องกันเอดส์

สธ.เผย โครงการวิจัยทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคนไทยใหญ่ที่สุดโลก ที่ศึกษาใน จ.ระยอง ชลบุรี คืบหน้ามาก คนไทยอาจโชคดีก่อนใครที่จะได้วัคซีนใช้ ระบุ ขณะนี้ฉีดอาสาสมัครกว่า 14,000 คนครบแล้ว หลังฉีดไม่มีอาการข้างเคียง ทุกคนสบายดี อาสาสมัครรุ่นแรกจะครบกำหนดติดตามผล 3 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2550 นี้ วันนี้ (1 ธ.ค.) ที่ลานหน้าโรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภชัย ฤกษ์งาม ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 กรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิดงานรวมพลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่จังหวัดระยอง ครั้งที่ 2 เนื่องในวันเอดส์โลก โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทหารบก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำโล่แสดงความขอบคุณชาวจังหวัดระยอง ที่ร่วมมือในการวิจัยในชุมชน และสนับสนุนให้บุตรหลานเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคน จำนวน 8,181 คน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นตัวแทน รับมอบ นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลก และโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ทุกประเทศทั่วโลก ร่วมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ภายใต้คำขวัญ “เอดส์หยุดได้...ร่วมใจสัญญา” (Stop Aids, Keep the promise) เพื่อหยุดยั้งและลดผลกระทบจากโรคเอดส์ และให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการรักษาและป้องกันเอดส์อย่างทั่วถึงภายในปี 2553 โดยโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ คาดว่า ในปี 2549 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์กว่า 39 ล้านคน เสียชีวิตเกือบ 3 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 11,000 คน ในประเทศไทยคาดว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมมาตั้งแต่ พ.ศ.2527 จนถึงขณะนี้รวม 1 ล้านกว่าคน เสียชีวิตแล้ว 85,456 คน ยังมีชีวิตอยู่ 306,066 คน สาเหตุหลักของการติดเชื้อกว่าร้อยละ 80 มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้งนี้แนวโน้มของการป่วยหลังติดเชื้อและเสียชีวิตจะน้อยลง เนื่องจากผู้ติดเชื้อได้รับบริการการดูแลสุขภาพ และได้รับยาต้านไวรัสเอดส์แล้ว 1 แสนกว่าคน ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ในปี 2549 ซึ่งมีจำนวน 5,786 คน น้อยกว่าปี พ.ศ.2544 ถึง 4 เท่าตัว ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ในปี พ.ศ.2549 มีทั้งหมด 952 คน น้อยกว่าปี พ.ศ.2544 ถึง 8 เท่าตัว และในปี พ.ศ.2550 นี้ จะเพิ่มความเข้มข้นในการลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยเน้นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เยาวชน ตั้งเป้าให้ได้ร้อยละ 80 โดยจะลดการติดเชื้อเอดส์รายใหม่ลงให้เหลือปีละไม่เกิน 5,300 คน ภายในปี พ.ศ.2553 นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า อีกมาตรการหนึ่งที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการขณะนี้ คือ การวิจัยทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคน ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ศึกษาในชุมชนที่จังหวัดระยอง และชลบุรี ในอาสาสมัครจำนวนถึง 16,000 คน ซึ่งจัดว่าเป็นการทดลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มในปลายปี พ.ศ.2546 และจะสิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ.2552 เพื่อดูว่าจะได้ผลป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้หรือไม่ เป็นการหาคำตอบให้ทั่วโลก ซึ่งได้พยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันเอดส์มากว่า 20 ปี รวมกว่า 30 ชนิด จากทั้งหมด 33 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นการศึกษาในไทย 12 โครงการ แต่ยังไม่มีประเทศใดสำเร็จ โดยประเทศไทยได้ศึกษาวัคซีนที่ใช้กับเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อี ที่พบในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบร้อยละ 3 ของสายพันธุ์ที่พบทั่วโลก ขณะที่สายพันธุ์ที่พบในประเทศผู้ผลิตวัคซีนเป็นสายพันธุ์บี จึงจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการวิจัยและพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมกับคนไทย การใช้วัคซีนเอดส์จะเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยเสริมการรณรงค์ทางด้านสังคมและพฤติกรรม ช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศชาติในการป้องกัน และการรักษาพยาบาลโรคเอดส์ได้ปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ด้าน นายแพทย์ศุภชัย กล่าวว่า โครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ที่จังหวัดระยอง และชลบุรีนั้น กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล และกรมการแพทย์ทหารบก ศึกษาในกลุ่มประชาชนที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี อายุระหว่าง 18-30 ปี ซึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 16,402 คน อยู่ในจังหวัดระยอง 8,181 คน ที่เหลืออีก 8,221 คน อยู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้วัคซีนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ แอลแวค (ALVAC) และ เอดส์แวค (AIDS VAX) เป็นวัคซีนปูพื้นและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย วัคซีนแอลแวค ฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อฆ่าเชื้อในเซลล์ ส่วนวัคซีนเอดส์แวค ฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสร้างถูมิคุ้มกันในเลือด เพื่อทำลายเชื้อไวรัสก่อนเข้าสูเซลล์ การทดลองจะแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งจะได้รับวัคซีนเอดส์ทดลอง อีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับสารเลียนแบบวัคซีน จะได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดคนละ 6 เข็ม เป็นเวลา 6 เดือน อาสาสมัครรายแรกเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2546 ขณะนี้มีอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนครบทุกเข็มเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา จำนวนกว่า 14,000 คน หลังฉีดทุกคนสบายดี ไม่มีอาการข้างเคียงร้ายแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ กำลังอยู่ระหว่างการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นระยะทุก 6 เดือน โดยอาสาสมัครรุ่นแรกจะครบระยะติดตามผล 3 ปี ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2550 และรุ่นสุดท้ายจะครบ 3 ปี ใน พ.ศ.2552 หลังจากนั้น จะใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูล ประสิทธิผลของวัคซีนประมาณ 1 ปี และจะสรุปผลการศึกษาได้ภายในปี พ.ศ.2552 หากวัคซีนที่ทดลอง ประสบผลสำเร็จในการป้องกันโรค ไทยจะเป็นประเทศแรกในโลกที่จะมีวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ใช้ นายแพทย์ศุภชัย กล่าวอีกว่า จากการติดตามผลหลังฉีด อาสาสมัครทุกคนสบายดี และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากอาสาสมัคร ปฏิบัติตัวตามข้อแนะนำ โดยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติแต่ต้องมีแบบปลอดภัย และผลดีจากการศึกษาครั้งนี้ พบว่า อาสาสมัครมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอดส์น้อยลง ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้สารเสพติด

วันศุกร์, ธันวาคม ๐๑, ๒๕๔๙

วันเอดส์โลก

วานนี้ (30 พ.ย.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์พอยท์ กรุงเทพฯ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดกิจกรรมการรณรงค์วันรวมใจต้านภัยเอดส์ ปี 2549 เนื่องในวันเอดส์โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ในปีนี้องค์การอนามัยโลกและโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “เอดส์หยุดได้...ร่วมใจรักษาสัญญา” (Stop AIDS Keep the Promise) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนเกิดความตื่นตัว มีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ และมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย โดยมีเยาวชนเข้าร่วมงานประมาณ 2,000 คน

นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ยังคงทวีปัญหาความรุนแรงในทุกภูมิภาคของโลก องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ในปี 2549 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์เกือบ 3 ล้านคน ยังมีผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่กว่า 39 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปี 2549 มากถึง 4 ล้านกว่าคน เฉลี่ยวันละ 11,000 คน นาทีละเกือบ 8 คน ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้ ร้อยละ 40 เป็นเยาวชน/วัยหนุ่มสาวอายุ 15 – 24 ปี และเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 530,000 คน

สำหรับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2527 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2549 มีผู้ติดเชื้อเอดส์ 1 ล้านกว่าคน เกือบครึ่งเสียชีวิตแล้ว ยังคงมีผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ต้องได้รับการดูแลรักษา 556,848 คน โดยในปี 2549 นี้มีรายงาน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15,174 คน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 40 คน เฉลี่ยนาทีละเกือบ 2 คน ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เหยื่อเอดส์รายใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชนวัยรุ่น ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และมากขึ้น และแนวโน้มจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยลงเรื่อย ๆ น่าห่วงมาก โดยพบว่า กลางปี 2549 อัตราการติดเชื้อเอดส์ในหญิงตั้งครรภ์อายุ 15 – 19 ปี ร้อยละ 0.44 ในขณะนี้ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบผู้ติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มนี้เลย เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงาน สังคมต้องช่วยกันแก้ไขเป็นการด่วน

ด้านนพ.สมชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดยุทธศาสตร์ป้องกันแก้ไขการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โดยตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากปี 2549 ลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2553 เหลือไม่เกิน 5,300 คน โดยส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักถึงร้อยละ 80 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ติดเชื้อ ชายรักชาย ผู้ให้และผู้ใช้บริการทางเพศ กลุ่มวัยรุ่น และลดการติดเชื้อจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด พัฒนาระบบดูแลรักษาพยาบาล โดยขยายความครอบคลุมการให้ยาต้านไวรัสเอดส์ให้ทั่วถึง และดูแลด้านสังคมแก่ครอบครัวผู้ป่วย ทั้งด้านอาชีพและสวัสดิการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 80 ของผู้ได้รับผลกระทบจากเอดส์

วันอังคาร, พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๔๙

เรื่องเก่า​ ​ๆ​ ​ที่​เล่า​ ​ซ้ำ​ ​ๆ​ ​ด้วย​ความ​หวังดี

การรักษา​ด้วย​ยาต้านไวรัส​ hiv ​มี​เป้าหมาย ​คือ

​การควบคุมจำ​นวนเชื้อไวรัส​ hiv ​ใน​ร่างกาย​ให้​มี​"จำ​นวนน้อยที่สุด​และ​นานที่สุด"

​เป็น​การเปิดโอกาส​ให้​ร่างกาย"สร้างภูมิคุ้ม​กัน​"​หรือ​ "CD 4" ​ขึ้นมา​ใหม่

​จน​อยู่​ใน​ระดับปกติ​ ​เพื่อ​ให้​ CD 4 ​ได้​ทำ​หน้าที่​ใน​การกำ​จัด​และ​ควบคุมเชื้อโรคต่าง​ ​ๆ

​ได้​เป็น​ปกติ​ ​ซึ่ง​เป็น​การป้อง​กัน​การป่วย​ด้วย​โรคติดเชื้อฉวยโอกาส​หรือ​โรคแทรกซ้อน

การรักษา​ด้วย​ยาต้านสิ่งสำ​คัญที่สุด​อยู่​ที่

​เลือกสูตรยาต้านอย่างถูก​ต้อง​และ​เหมาะสม

​ซึ่ง​แต่ละคนอาจ​ได้​รับสูตรยาที่​เหมาะสม​ไม่​เหมือน​กัน​ครับ
ยาต้านไวรัส​ hiv

​ปัจจุบันยาต้านมี​อยู่​มากกว่า​ 20 ​ชนิด​ ​โดย​แต่ละชนิดทำ​หน้าที่​ใน​การขัดขวางกระบวนการ

​เพิ่มของไวรัส​ใน​แต่ละขั้นตอนแตกต่าง​กัน​ไป​ ​สามารถ​จัด​ได้​เป็น​ 3 ​กลุ่ม​ ​คือ

1.​กลุ่ม​ NRTI ​เช่น​ AZT, ddI, D4T, 3TC ​และ​ Abcavir

2.​กลุ่ม​ NNRTI ​เช่น​ Nevirapine (NVP) ​และ​ Efavirenz (EFV)

3.​กลุ่ม​ PI ​เช่น​ Saquinavir (SQV), Indinavir (IDV), Retonavir (RTV) ​และ​ Nelfinavir (NFV)

​ยาดังกล่าว​ได้​รับรอง​ ​อย​.​และ​อยู่​ใน​รายการยา​เพื่อรักษาขององค์กรอนามัยโลก​แล้ว​ครับ

สรุปปัจจุบันสูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพ

​เน้น​ ​ณ​ ​เวลานี้นะครับ​ ​สูตรยาต้านที่มีประสิทธิภาพ​ใน​การยับยั้งเชื้อไวรัส​ hiv ​ที่​เป็น​มาตรฐาน

​คือสูตรยาต้าน​ 3 ​ชนิด​ ​ขึ้นไปรวม​กัน​ ​ซึ่ง​ต้อง​เลือก​จาก​กลุ่มยาต้านอย่างน้อย​ 2 ​กลุ่มขึ้นไป

​ซึ่ง​อาจ​ได้​ผลนานกว่า​ 5 ​ปี​ ​ครับ

ไม่​ควรกินยาต้านดังนี้ครับ

1.​กินยาต้านเพียง​ 1 ​ชนิด​ ​เพราะ​เชื้อ​ hiv ​จะ​ดื้อยาต้าน​นั้น​ภาย​ใน​ 6 ​เดือน

2.​หากกินยาต้าน​ 2 ​ชนิด​ ​ใน​กลุ่ม​ NRTI ​ภาย​ใน​ 1-3 ​ปี​ ​เชื้อ​ hiv ​จะ​ดื้อยา
​หรือ​อาจ​จะ​ไม่​ได้​ผลเลย​ ​หาก​ผู้​ป่วยมีระดับ​ CD 4 ​ต่ำ​มาก

ผลข้างเคียงของยาต้าน

1.AZT ​หรือ​ซี​โดวูดีน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ผลต่อระบบเม็ดเลือด​ ​เกิดอาการซีด​(​หรือ​เลือดจาง) ​เม็ดเลือดขาวต่ำ​ ​เล็บดำ
*​ผลต่อระบบทางเดินอาหาร​ ​เบื่ออาหาร​ ​ปวดท้อง
*​ปวดกล้ามเนื้อ​ ​เหนื่อยง่าย​ ​นอน​ไม่​หลับ
​ปฎิกิริยาระหว่างยา
*​ไม่​ควรกินยานี้ร่วม​กับ​ยาพารา​เซทตามอลนาน​ ​ๆ​ ​เพราะ​เพิ่มอัตราการเกิดเม็ดเลือดขาวต่ำ​ครับ
*​ผู้​ที่มีอาการตับเสื่อม​ต้อง​ลดขนาดยาลงครับ

3TC ​หรือ​ ​ลามิวูดีน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​อาจมีอาการปวดท้อง​ ​ท้องเสีย​ ​คลื่นไส้​ ​อา​เจียน​และ​วิงเวียนศรีษะ​ ​หรือ​ผมร่วง​ได้​ครับ

EFV ​หรือ​ Efavirenz ​หรือ​ชื่อทางการค้า​ STOCRIN
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​มีผลต่อระบบประสาท​ ​ทำ​ให้​มีอาการฝันร้าย​ ​เวียนศรีษะ​ ​เห็นภาพหลอน​ได้​ ​โดย​เฉพาะ​ใน
​สัปดาห์​แรกของการกินยา
*​ผื่น
*​ระดับการทำ​งาน​ใน​ตับสูงขึ้น

D4T ​หรือ​ ​สตาวูดีน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ชาปลายมือ​ ​ชาปลายเท้า​ ​ไขมันย้ายที่​ ​แก้มตอบ

ddI ​หรือ​ ​ไดดา​โนซีน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ท้องเสีย
*​ชาปลายมือปลายเท้า
*​ตับอ่อนอักเสบ

Abacavir
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​มีผื่นแพ้​เกิดขึ้น

NVP ​หรือ​ ​เนวิรราปีน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ผื่นแพ้ยา
*​ตับอักเสบ

IDV ​หรือ​ ​อินดินา​เวียร์​ ​หรือ​ ​คริกซิ​เวน
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ปวดเมื่อยตัว
*​นิ่วทางเดินปัสสาวะ​ ​(​ให้​ดื่มน้ำ​สะอาดมาก​ ​ๆ​ ​อย่างน้อยวันละ​ 2 ​ลิตร​ )

SQV ​หรือ​ ​ซาควินา​เวียร์
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ผื่นแพ้ยา​ ​พบน้อยมาก

RTV ​หรือ​ ​ริ​โทนา​เวียร์
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​คลื่นไส้​ ​อา​เจียน​ ​มวนท้อง
*​ชาที่ลิ้น​หรือ​รอบริมฝีปาก

NFV ​หรือ​เนลฟินา​เวียร์
​ข้อแทรกซ้อนของยา
*​ผื่นแพ้ยา​ ​พบน้อย
*​ท้องเสีย


​การที่ยาต้าน​จะ​มีผลข้างเคียงของยา​หรือ​ข้อแทรกซ้อนของยาต้าน​นั้น
​ก็ขึ้น​อยู่​กับ​แต่ละคนครับ​ ​บางคนมีผลมากบ้างน้อยบ้าง
​ทั้ง​นี้ขึ้น​อยู่​กับ​แต่ละคน​ได้​รับยาต้านที่ถูก​ต้อง​และ​เหมาะสม​หรือ​ไม่

การแยกระหว่างการแพ้ยาต้าน​กับ​ผลข้างเคียงของยาต้าน

การแพ้ยาต้าน
​จะ​มีลักษณะอาการดังนี้ครับ
*​มี​ไข้สูง​, ​มีผื่นลมพิษ​ ​ถ้า​แพ้มาก​ถึง​กับ​ผิวหนังดำ​ไหม้​ได้​ครับ​, ​เยื่อบุอ่อนพอง​
​เช่น​ ​เยื่อบุตา​ ​เยื้อบุ​ใน​ปาก​, ​หายใจขัด​หรือ​หอบ​ ​เป็น​ต้นครับ

การเกิดผลข้างเคียงของยาต้าน
1.​มีผล​ไม่​รุนแรง​ ​คือ​ ​อาการที่​ไม่​ทำ​ให้​เสียชีวิต​ ​แต่​จะ​รบกวนทำ​ความ​รำ​คาญ
​กับ​การ​ใช้​ชีวิตประจำ​วัน​ ​จะ​เป็น​ใน​ช่วงระยะ​แรก​ ​ๆ​ ​ของการเริ่มกินยาต้าน​และ​จะ​เริ่มดีขึ้น
​เมื่อผ่านไป​ได้​สัก​ 2 ​เดือน​ ​เช่นอาการปวดศรีษะ​ ​คลื่นไส้​ ​อา​เจียน​ ​ท้องเสีย​ ​ท้องอืด​
​นอน​ไม่​หลับ​ ​ฝันร้าย​ ​เป็น​ต้น

2.​มีผลรุนแรง​ ​คือ​ ​ทำ​ให้​เสียชีวิต​ได้​ ​ถ้า​ไม่​รีบแก้​ไข​ ​เช่น​ ​อาการซีด​ ​ตับอักเสบ​ ​ตับอ่อนอักเสบ
​ชาปลายมือปลายเท้า​ ​นิ้ว​ใน​ไต​ ​อาการดังกล่าวมัก​จะ​เกิด​กับ​ผู้​ป่วยที่​เริ่มกินยาต้าน​ ​เมื่อมี
​ระดับ​ CD 4 ​ต่ำ​มาก​ ​แล้ว​ครับ

3.​อาการผลข้างเคียงระยะยาว​ ​คือ​ผู้​ที่กินยาต้าน​เป็น​เวลานาน​ ​ๆ​ ​ตั้งแต่​ 3-4 ​ปี
​เช่น​ ​น้ำ​ตาล​ใน​เลือดสูง​ ​เป็น​อาการของเบาหวาน​ ​หิวน้ำ​บ่อย​ ​ๆ​ ​ปัสสาวะบ่อย
​ไขมันกระจายตัวผิดปกติ​ ​หรือ​ที่​เรา​เรียกว่า​ไขมันย้ายที่​ ​มีลักษณะลงพุง​ ​ไขมันพอกต้นคอ
​ไขมันพอกหน้าอก​ ​หน้าตอบ​ ​แขนขาลีบ​ ​เป็น​ต้น
ถ้า​ทุกคนที่ติดเชื้อพอ​จะ​ทราบแค่นี้ก็​เข้า​ใจ​ hiv ​และ​เอดส์​แล้ว​ครับ

​สำ​หรับ​ผู้​ที่​ยัง​คงมีระดับ​ CD 4 ​สูงกว่า​ 200 cell/ml ​ก็หมั่นไปตรวจเลือดดู​ความ​เป็น​ไป

​หรือ​การดำ​เนินของโรค​ ​โดย​ตรวจระดับ​ CD 4 ​ทุก​ 3 ​เดือนครับ​ ​หากเริ่มลดลงต่ำ​ก็ตรวจ

​ไวรัสโหลดทุก​ 6 ​เดือนครับ​ ​ทำ​ชีวิต​ให้​ง่าย​ ​ๆ​ ​สบาย​ ​ๆ​ ​กินอาหารที่สุกสะอาด​ให้​ครบ​ 5 ​หมู่
​จะ​ยากหน่อยแต่​ไม่​ต้อง​ซี​เรียด​ ​แต่​ต้อง​ให้​เพียงพอ​กับ​ความ​ต้อง​การของร่างกาย​ทั้ง​ 3 ​มื้อครับ

​พักผ่อนนอนหลับ​ไม่​น้อยกว่า​ 6-8 ​ชั่วโมง​ ​ออกกำ​ลังกายตามสภาพร่างกายสม่ำ​เสมอ

​ไปพบแพทย์ตามนัด​ ​กินยา​ให้​ตรงเวลา​ ​ทำ​จิตใจ​ให้​สดใสร่า​เริงครับ

วันเสาร์, พฤศจิกายน ๑๑, ๒๕๔๙

ทานอาหาร อย่างไร

เราก็​เรียนตั้งแต่​เด็ก​แล้ว​ว่าอาหารมีห้าหมู่​ ​และ​เราก็ควรรับประทาน​ให้​ครบทุกหมู่คือ​ ​โปรตีน​ ​คาร์​โบไฮเดรท​ ​ไข่มน​ ​วิตามิน​ ​และ​เกลือแร่​ ​ซึ่ง​เจ้าสามตัวแรกเรา​เรียกมันว่า​ macronutrients ​ส่วน​เจ้าสองตัวหลังก็​เปนพวก​ micronutrients ​เนื่อง​จาก​มีขนาดของโมเลกุล​เล็ก​กว่า​นั้น​เอง​ ​บางทีการทานอาหารของ​ผู้​ที่​ไม่​ป่วย​ ​อาจ​จะ​ใช้​ไม่​ได้​กับ​ผู้​มี​เชื้อ​เนื่อง​จาก​ ​ทุกครั้งที่​เราติดเชื้อโรคต่างๆ​ร่างกายเรา​ต้อง​ใช้​พลังงานมากกว่าปกติ​ ​และ​เวลา​เราป่วยเราก็มัก​จะ​ทาน​ได้​น้อยกว่าปกติ​ ​และ​นี้อาจ​จะ​เป็น​สา​เหตุว่าทำ​ไม​ผู้​ที่มี​เชื้อมัก​จะ​ขาดสารอาหารอย่างที่ควร​จะ​เป็น​ ​อีก​ทั้ง​บางครั้งการติดเชื้อก็มี​ส่วน​ที่​จะ​ไปทำ​ให้​การทานอาหารน้อยลง​ ​เนื่อง​จาก​มีการติดเชื้อของทางเดินอาหาร​ ​และ​ ​ลำ​ไส้​ ​โดย​เฉพาะ​ผู้​ที่ท้องเสียรื้อรังก็​จะ​ได้​รับสารอาหารน้อยกว่าที่​เรา​ได้​ทานไปมาก​ ​เพราะ​ร่างกายดูดซับ​ได้​น้อย​ ​อีก​ทั้ง​ผู้​ป่วยที่​เริ่มยาต้านไวรัส​ ​อาจ​จะ​มีผลข้างเคียงคืออาการเบื่ออาหาร​


​อย่างไรก็ดี​เรา​ไม่​ควรที่​จะ​ปล่อย​ให้​ร่างกายผอมลง​ ​เพราะ​ว่า​จะ​สูญเสียน้ำ​หนักของกล้ามเนื้อ​ ​เพราะ​ฉ​นั้น​กับ​ผู้​ติดเชื้อเรา​ไม่​ควรที่คิด​จะ​ไปลดน้ำ​หนัก​เพราะ​นั้น​คือสัญญาณอันตราย​ซึ่ง​ตรง​กัน​ข้ามที่​เราควร​จะ​บริ​โภค​ให้​มากกว่า​ผู้​ที่​ไม่​มี​เชื้อ​ ​เพื่อ​จะ​ได้​รักษาน้ำ​หนักของร่างกายเอา​ไว้​ ​อีกประ​เด็นที่น่าสนใจคือ​ถ้า​เราสูญเสียน้ำ​หนักเยอะๆ​เนี่ย​ ​กระบวนการทางเคมีของร่างกายก็​จะ​เปลี่ยน​ ​ทำ​งาน​ได้​ไม่​เหมือนเดิม​ ​ซึ่ง​ก็​จะ​ทำ​ให้​เรารู้สึกว่าร่างกายเรา​ไม่​เหมือนเดิม​ ​ด้วย​อาการแปลกๆ​ต่างๆ​ ​ถ้า​เพื่อนๆ​รู้สึกกว่าสูญเสียน้ำ​หนักมากกว่า​ 5% ​ของน้ำ​หนักตัว​ ​ควรรีบที่​จะ​พบแพทย์​เพื่อปรึกษา​


​สิ่งแรกที่​ผู้​ติดเชื้อ​ต้อง​ทำ​เป็น​อย่างแรกคือการทาน​ให้​มาก​เข้า​เอา​ไว้​ ​โดย​เฉพาะพวกโปรตีน​ ​และ​ ​คาร์​โบไฮเดรท​ ​ที​เป็น​ตัวการสำ​คัญ​ใน​การเพิ่มของน้ำ​หนักร่างกาย​ ​และ​ ​กล้ามเนื้อต่างๆ​ ​อย่างไรก็ดี​เราก็ควรที่​จะ​บริ​โภคไขมัน​ใน​ระดับที่พอเพียง​ ​ไม่​มากไป​ ​ไม่​น้อยไป​ ​ประ​เภท​ KFC Sizzler ​ทุกมื้อนี่ก็​ไม่​ไหว​ ​ไขมันมากไป​ ​อย่างที่​เรารู้​กัน​ดี​อยู่​แล้ว​ว่า​โปรตีน​ช่วย​สร้างกล้ามเนื้อ​ ​และ​ ​พบ​ได้​มาก​ใน​อาหารจำ​พวก​ ​เนื้อสัตว์ต่างๆ​ ​ปลา​ ​ถั่วเมล็ดต่างๆ​ ​ส่วน​หน้าที่ของเจ้า​ carbohydrate ​ก็​เช่น​กัน​จะ​ไป​ช่วย​เพิ่มน้ำ​หนักของร่างกาย​ ​และ​ ​กล้ามเนื้อของเรา​ ​ซึ่ง​แหล่งอาหารที่มี​ carbohydrate ​อยู่​เยอะก็คือ​ ​แป้ง​ ​ธัญญาพืชชนิดต่างๆ​ ​ผักรสชาติหวานๆ​ ​น้ำ​ตาล​ ​และ​ผลไม้​ ​ยิ่ง​เป็น​เครื่องดื่มน้ำ​ผลไม้​แล้ว​ด้วย​ ​น้ำ​ตาล​ใน​นั้น​สามารถ​ที่​จะ​ดูดซับ​ได้​เร็ว​ ​ซึ่ง​ร่างกายก็​สามารถ​นำ​ไป​ใช้​ได้​รวด​เร็ว​เลยที​เดียว


​สำ​หรับอาหารจำ​พวกไขมัน​ ​ผมอยากแบ่ง​เป็น​สองพวกคือไขมันที่ดี​ ​และ​ ​เลว​ ​ซึ่ง​ไขมันที่ดี​ส่วน​ใหญ่​ก็​จะ​พบ​ได้​ใน​ถั่วต่างๆ​ ​น้ำ​มันมะกอก​ ​น้ำ​มัน​จาก​พืชชนิดต่างๆ​ ​และ​ไขมัน​จาก​ปลา​ ​ใน​ขณะที่​ไขมันที่​เลวก็​จะ​อยู่​ใน​พวกเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ​ ​และ​ ​ใน​เนยเหลว​ ​อย่างไรก็ดีการออกกำ​ลังกายก็มี​ส่วน​สำ​คัญสำ​หรับ​ผู้​ติดเชื้อ​ ​นอกเหนือ​จาก​การรับประทานอาหาร​แล้ว​ ​เพราะ​ถึง​แม้ว่าบางท่าน​จะ​เริ่มยา​แล้ว​ ​แต่ก็​ไม่​ควรที่​จะ​ปล่อยตัวเองไปพึ่ง​กับ​ยา​เพียงอย่างเดียว​ ​เพราะ​เราก็ควร​จะ​ช่วย​ร่างกายเรา​เพิ่มภูมิคุ้ม​กัน​ด้วย​ ​ซึ่ง​หนึ่ง​ใน​หลายวิธีก็คือการออกกำ​ลังกาย


​อีกข้อที่สำ​คัญของ​ผู้​ที่​เริ่มยา​แล้ว​ ​และ​ ​ผู้​ติดเชื้อก็คือการดื่มน้ำ​มากๆ​ ​ยิ่งมากยิ่งดี​ ​เพราะ​นอก​จาก​น้ำ​จะ​ไปทำ​ให้​กระบวนการที่สำ​คัญทางเคมีของร่างกายดำ​เนินไป​ได้​อย่างดี​แล้ว​ ​น้ำ​ยัง​ไป​ช่วย​ลดอาการ​ ​หรือ​ ​ผลข้างเคียงของยาต้านอีก​ด้วย​ ​ที่สำ​คัญอีกอย่าง​ ​การดื่มชา​ ​กา​แฟ​ ​ใน​ปริมาณที่มากเกินควร​ ​น้ำ​อัดลม​ chocolate ​หรือ​สุรา​ ​อาจ​จะ​เป็น​สา​เหตุสำ​คัญ​ใน​การลดระดับของของเหลว​ใน​ร่างกายอีก​ด้วย​ ​เพราะ​ฉ​นั้น​เราควร​จะ​มาดื่มน้ำ​กัน​มากๆ​เถอะครับ


​สิ่งที่สำ​คัญอีกอย่างของ​ผู้​ติดเชื้อก็คือเราควร​จะ​หันมาบริ​โภคอาหารที่​เราทำ​ทานเอง​ ​นอก​จาก​เรา​จะ​สามารถ​ควบคุม​ความ​สะอาด​ได้​แล้ว​ ​เรา​ยัง​สามารถ​ประหยัดเงิน​ได้​อีก​ด้วย​ ​อาหารที่​ผู้​ติดเชื้อควร​จะ​รับประทานก็ทาน​ได้​ทุกอย่าง​ ​แต่​ถ้า​ทำ​เองวัตถุดิบต่างๆ​ก็ควนที่​จะ​ล้าง​ให้​สะอาด​ ​น้ำ​ที่ควร​จะ​ดื่ม​ถ้า​ผ่านเครื่องกรอง​ ​หรือ​การต้มก็​จะ​ดีมาก​ ​ที่สำ​คัญห้องครัวของ​ผู้​ติดเชื้อควรหมั่น​ check ​ถึง​ความ​สะอาด​เป็น​อันดับแรก​ ​และ​ควร​จะ​ดูวันหมดอายุของอาหารตลอด​ ​ไม่​ควรทานอาหารที่​เลยวันหมดอายุ​แล้ว​ ​เฉกเช่นเดียว​กับ​ผมที่ขี้​เสียดาย​ ​แค่นี้​เราก็​จะ​อยู่​อย่างมี​ความ​สุข​กับ​เจ้า​ HIV ​แล้ว​ครับ


​สำ​หรับเพื่อนที่​ไม่​มี​เวลาบริ​โภคอาหาร​ได้​ครบหมู่ตามที่กล่าวมา​ ​และ​คิด​จะ​ทานอาหารเสริม​ ​ก็​ต้อง​ดูพวกอาหารเสริมจำ​พวกที่​ไม่​ใช่​อาหารลด​ความ​อ้วน​ ​จำ​ไว้​น่ะครับว่า​เรา​ต้อง​การเพิ่มน้ำ​หนัก​ ​ท่อง​ไว้​ ​การลดน้ำ​หนัก​ไม่​ใช่​ผลดี​กับ​เรา​เลย​ ​และ​การทานอาหารเสริม​ยัง​ไงก็คง​ไม่​ดี​และ​ถูก​เท่า​กับ​อาหารสดๆ​ที่​เราหาทาน​ได้​น่ะครับ​ ​หลักสำ​คัญของ​ผู้​ติดเชื้อก็คือ

1 ​ทานอาหารพวกโปรตีน​ ​และ​ ​คาร์​โบไฮเดรท​ให้​มากๆ​ ​ทานไขมัน​ให้​พอเหมาะ​ ​และ​ออกกำ​ลังกายอย่างพอเพียง

2 ​น้ำ​คือชีวิต​ ​เจ้าลดสิ่งที่​เป็น​พิษแก่ข้า​ ​ดื่ม​เข้า​ไปเลยน้ำ​ที่สะอาด​ ​ดื่ม​ให้​มากกว่าคนปกติ

3 ​รักษา​ความ​สะอาดของอาหารที่รับประทาน​ ​ไม่​แน่​ใจว่า​ไม่​สะอาด​ ​ไม่​ต้อง​ทานครับ​ ​ไม่​คุ้ม​กับ​ผลเสียของร่างกายเรา

4 ​ถ้า​จะ​ทานอาหารเสริมควร​จะ​ปรึกษา​แพทย์ก่อนทานน่ะครับ

วันพุธ, พฤศจิกายน ๐๘, ๒๕๔๙

ความ​รู้​เกี่ยว​กับ​โรค​ AIDS ​และ​ HIV

HIV ​คือไวรัสที่​เป็น​ต้นเหตุ​ให้​ภูมิคุ้ม​กัน​เรา​ไม่​ทำ​งาน​ได้​ตามปรกติ​ ​หรือ​ที่​เรา​เรียก​กัน​ว่าภูมิคุ้ม​กัน​บกพร่องนั่นเอง​ ​มากกว่า​ 28 ​ล้านคน​ทั่ว​โลก​ต้อง​เสียชีวิต​จาก​โรคนี้​ ​ใน​เวลากว่า​ 25 ​ปีหลัง​จาก​ที่​ไวรัสตัวนี้รู้จัก​กัน​เป็น​ครั้งแรก​
HIV (Human Immunodeficiency Virus) ​คือไวรัสที่จ้อง​จะ​ทำ​ให้​ภูมิคุ้ม​กัน​ของเราบกพร่องโยตรงเลย​ ​ที่​เป็น​เช่นนี้​เพราะ​ไวรัส​ ​ก็​ต้อง​การที่​เอาตัวรอด​จาก​การถูกทำ​ลายของภูมิคุ้ม​กัน​ของเรา​ด้วย​ ​วิธี​เดียวที่​ไวรัส​สามารถ​ทำ​ได้​ก็คือการไปหยุดการทำ​ งานของระบบภูมิคุ้ม​กัน​ ​ซึ่ง​นั่นก็​เป็น​ผลร้าย​กับ​เรา​เมื่อ​ไม่​มีระบบภูมิคุ้ม​กัน​ ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอเราก็​สามารถ​ที่​จะ​ติดเชื้อโรค​ได้​ ง่ายมากกว่าคนปกติหลาย​เท่า​ ​ซึ่ง​อาการที่​เราติดเชื้อ​จาก​โรคแทรกซ้อนต่างๆ​ ​เรารู้จัก​กัน​ดีของอาการที่​เรา​เรียกว่า​ AIDS ​ซึ่ง​นี้ก็​เป็น​สา​เหตุของการเสียชีวิต​จาก​โรคนี้​


​หลัง​จาก​ที่​ไวรัส​เข้า​มา​ใน​ร่างกาย​แล้ว​ ​มันก็​จะ​มุ่งไปโจมตี​เซลล์​เม็ดเลือดขาวตัวหนึ่งที่ชื่อว่า​ CD4+ ​การโจมตีของมันก็​เหมือนไวรัสสายพันธ์​อื่นๆ​โดย​ การแทรกสารพันธุกรรมของมันไป​ใน​สารพันธุกรรมของเรา​ ​ซึ่ง​ก็​เป็น​ที่รู้​กัน​ดีกว่า​ใน​เซลล์​เล็กๆ​ของเรามีสารพันธุ์คอยสั่ง​ และ​สร้างสารที่สำ​คัญต่างๆ​ให้​กับ​ร่างกาย​ ​ซึ่ง​ไวรัสมันก็​ใช้​สารพันธุกรรมเรารวมตัว​กับ​สารพันธุกรรมของไวรัส​ ​เพื่อสั่ง​ให้​สร้าง​ ​สารพันธุกรรมของไวรัสเพิ่มขึ้นภาย​ใน​เซลล์ของเรา​ ​ก่อนที่มัน​จะ​แตกตัวออก​จาก​เซลล์​เรา​เพื่อเจริญเติบโต​เป็น​ตัวเต็มไว​ ​และ​ ​ติดเชื้อ​กับ​เซลล์​อื่นๆ​ของเราต่อไป


​แต่ก่อนเรา​ไม่​รู้ว่าการที่​ไวรัสตัวนี้​เข้า​มา​ใน​ ร่างกายของเรามีผลต่อการทำ​งานที่บกพรองของภูมิคุ้ม​กัน​ของเราอย่างไร​ ​แต่ก่อนเรา​เชื่อว่ามันไปทำ​ลาย​ CD4 ​ของเรา​ ​ซึ่ง​เรา​เพิ่ง​ค้น​พบว่า​ความ​จริง​ CD4 ​เซลล์​เรามันถูกทำ​ให้​หยุดทำ​งาน​ ​มัน​ไม่​ได้​ถูกทำ​ลาย​ ​เพียงแต่มัน​ไม่​ทำ​งาน​ ​เมื่อ​ CD4 ​อ่อนแอ​ ​และ​ ​หมดอายุขัยของมัน​ ​ก็​ถึง​การสลายตัวของมัน​ ​ขณะที่การสร้าง​ CD4 ​ตัว​ใหม่​ก็ถูกกระตุ้น​ให้​สร้างช้าลง​ ​หรือ​ไม่​สร้างเลย​ ​นั่นก็​เป็น​สัญญาณบอก​แล้ว​ว่า​โอกาสที่​เรา​จะ​พัฒนา​ไป​เป็น​ AIDS ​ก็ค่อนข้างสูง


​สิ่งที่สำ​คัญเกี่ยว​กับ​ไวรัสตัวนี้​ความ​ไว​ใน​การที่มัน​จะ​ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารพันธุกรรม​ซึ่ง​เร็ว​มาก​ ​กว่าการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมของไวรัสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกครั้งที่มันมีการแพร่พันธุ์ตัวเอง ​ ​สิ่งที่ยาก​ใน​การวิจัยของไวรัสตัวนี้ก็คือ​ ​สารที่​เคลือบรหัสพันธุกรรมของไวรัส​เป็น​โปนตีน​ ​ที่มีสารประกอบเชิงโครงสร้างคล้าย​กับ​ ​เซลล์ของมนุษย์มาก​ ​ซึ่ง​ทำ​ให้​ระบบภูมิคุ้ม​กัน​ของเรายาก​ใน​การที่​จะ​แยกที่​จะ​จับ​และ​ ทำ​ลาย​ ​ระหว่างเซลล์ที่ติดเชื้อ​ ​และ​เซลล์ที่ดี


​การติดเชื้อของไวรัส​ ​แบ่งออก​ได้​เป็น​ 4 ​ระยะ​ ​คือ
​การจับตัวของไวรัสที่​ CD4 ​ซึ่ง​ก็​เป็น​สิ่งแรก​ใน​การที่​ไวรัส​ใช้​เป็น​ทาง​ใน​การ​เข้า​สู่​ใน​ เซลล์​เรา​ 2) ​การสร้างสารพันธุกรรม​ใหม่​ของไวรัส​โดย​ใช้​โปรตีนบางตัวของมัน​ 3) ​การ​ใส่​สารพันธุกรรมตัว​ใหม่​นี้ของไวรัส​ ​และ​ใส่​เข้า​ไป​ใน​สารพันธุกรรมของเรา​ ​และ​สั่ง​ให้​เพิ่มการผลิตสารพันธุกรรมที่​เป็น​องค์ประกอบสำ​คัญ​ใน​ การที่​จะ​เป็น​ไวรัสตัวเต็มวัยต่อไป​ 4) ​การแตกหน่อ​ ​ซึ่ง​ก็​จะ​เป็น​ขั้นตอนสุดท้ายที่​จะ​ออก​จาก​เซลล์​เรา​เพื่อ​จะ​กลาย​ เป็น​ไวรัสที่​จะ​กลาย​เป็น​ตัวเต็มวัยต่อไป​

​การติดเชื้อ​ ​เป็น​ที่รู้​กัน​ดี​อยู่​แล้ว​ว่าการติดเชื้อ​ HIV ​นั่นค่อนข้างยาก​ ​เนื่อง​จาก​เชื้อไวรัส​จะ​อยู่​ใน​ ​เลือด​ ​และ​น้ำ​คัดหลั่งตาก​ ​ไม่​ใช่​โกหกแต่​ใน​น้ำ​ลายก็มี​เชื้อ​ HIV ​อยู่​เหมือน​กัน​แต่​ใน​ปริมาณที่น้อยมากที่​จะ​สามารถ​ติด​ได้​ ​ทานอาหารร่วม​กัน​นี่อย่างไงก็​ไม่​ติด​ ​อย่างที่กล่าวไป​ใน​กระทู้​ ​วันนี้ขอเขียนอะ​ไรยาวๆ​หน่อยน่ะครับ​ ) ​ว่าการติดเชื้อน่ะต่อ​ให้​เรา​ได้​รับเชื้อมา​แต่มันก็ขึ้น​อยู่​กับ​ ​ปริมาณของเชื้อ​ด้วย​ ​เพราะ​ถ้า​เรา​ได้​รับเชื้อมามาก​ ​ซึ่ง​ถ้า​มันหลุดรอด​จาก​การทำ​ลาย​โดย​ระบบภูมิคุ้ม​กัน​ของเรา​ใน​ระยะ​ แรก​ได้​แล้ว​ ​โอกาสที่มัน​จะ​กลาย​เป็น​โรคเรื้อรัง​ ​ซึ่ง​เป็น​ขั้นตอนที่สำ​คัญที่สุด​ใน​การที่​ไวรัส​จะ​ ปล่อยสารออกมาหยุดการทำ​งานของภูมิคุ้ม​กัน​ของเรา​


​โอกาสที่​จะ​ติดเชื้อ​ HIV ​มีดังนี้​ 1) ​มี​เพศสัมพันธุ์​กับ​ผู้​ติดเชื้อ​โดย​ไม่​ป้อง​กัน​ ​โดย​วิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการ​ใช้​ถุงยาง​ 2) ​ใช้​เข็มฉีดยา​ ​และ​ของมีคมที่อาจ​จะ​บาด​และ​มี​เลือดของ​ผู้​มี​เชื้อ​อยู่​ ​ร่วม​กับ​ผู้​ติดเชื้อ​ ​อย่างไรก็ดีหากว่า​เมื่อเลือดแห้ง​แล้ว​ ​ไวรัสก็ตาย​แล้ว​ครับ​ ​ไม่​ติดแน่​ 3) ​ได้​รับการรับเลือด​โดย​ตรง​ ​เช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ​ ​การับบริจาดเลือด​ ​ผ่าตัด​ 4) ​ปล่อย​ให้​น้ำ​คัดหลั่งของ​ผู้​ติดเชื้อโดนร่างกาย​ใน​ส่วน​ที่​เป็น​แผล​ ​ซึ่ง​ก็​ได้​คำ​แนะนำ​เพิ่มเติม​จาก​แพทย์ที่​เป็น​เพื่อนว่า​ ​คำ​ว่า​แผลที่​จะ​ติดเชื้อ​ได้​เต็มๆ​ก็คือแผลที่​เปิดกว้าง​ ​เพราะ​โอกาสที่ปริมาณเชื้อ​จะ​เข้า​มี​ได้​มาก​ ​และ​ ​เต็มที่​ ​แผลที่​เปิดกว้าง​ ​เพื่อนบอกว่า​ให้​นึกเอาง่ายๆ​ว่า​เอามีดมา​เฉือนเนื้อตัวเอง​ให้​ เห็นเนื้อแดงๆ​ ​นั่นแหละครับ​ 5) ​เด็กทารก​ ​หรือ​แรกเกิดที่อาจ​จะ​ติด​จาก​มารดาทางเลือด​ ​หรือ​การ​ให้​นม​จาก​แม่ที่มี​เชื้อ


​ระยะ​แรกของการติดเชื้อ​ ​กว่าครึ่งของ​ผู้​ติดเชื้อ​จะ​มีอาการคล้าย​เป็น​ไข้สูง​ ​อ่อนเพลีย​ ​อาจ​จะ​มีผื่นขึ้น​ ​ปวดตามข้อต่างๆ​ ​หลัง​จาก​ได้​รับเชื้อมาประมาณ​ 2-4 ​สัปดาห์หลัง​จาก​การติดเชื้อ​ ​ผมเอาข้อมูลมาฝากเกี่ยว​กับ​ช่วงแรกๆ​ของการติดเชื้อ​ ​และ​ ​ไวรัสโหลดน่ะครับของ​ผู้​รับการวิจัย​โดย​ไม่​ได้​รับยาต้านไวรัสน่ะครับ


6 ​สัปดาห์​ CD 4 = 900 VL = 500
12 ​สัปดาห์​ CD 4 = 700 VL = 350
1-10 ​ปี​ CD 4 = 550-230 VL = 350-500 4
> 10 ​ปี​ CD 4 = 220-<10 VL = 450-1000


​จริงๆ​ภาวะที่​เซลล์ปกติ​และ​แข็งแรง​ CD4 ​จะ​อยู่​ที่ประมาณ​ 600-1200 ​เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิ​เมตร​ ​อย่างไรก็ดี​เรา​ไม่​ควรที่​จะ​ปล่อย​ให้​ CD4 ​ของเราต่ำ​กว่า​ 200 ​เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิ​เมตร​ ​สิ่งที่สำ​คัญหลัง​จาก​การรับเชื้อ​แล้ว​ ​ร่างกายเรา​จะ​สร้าสารตัวหนึ่งที่​เรียกว่าสาร​ antibody ​ซึ่ง​ใช้​ไว้​กำ​จัดเชื้อโรค​ ​เนี่อง​จาก​เวลา​เราตรวจการติดเชื้อเรา​จะ​ตรวจ​ antibody ​ซึ่ง​เราร่างกายเราก็สร้าง​ antibody ​ที่คล้ายๆ​กัน​ ​เวลา​เรามี​เชื้อโรค​อื่น​ ​ทำ​ให้​การตรวจจับ​ antibody ​ของไวรัส​ HIV ​ไม่​สามารถ​บอก​ได้​ใน​ระยะ​แรกๆ​ได้​ ​บางครั้งเราอาจ​จะ​ต้อง​รอ​ถึง​ 3-8 ​อาทิตย์กว่าที่​จะ​ตรวจเจอ​ ​นอก​จาก​นี้​ยัง​มี​ผู้​ติดเชื้อ​ � ​หลายรายที่​ไม่​มีอาการอะ​ไรเลย​ ​ก่อนที่​จะ​ก้าวไปสู่การ​เป็น​ AIDS


​การ​เป็น​ AIDS – ​หลัง​จาก​ที่ภูมิคุ้ม​กัน​ของ​ผู้​ติดเชื้อถูกทำ​ลายจนเหลือน้อยมากๆ​แล้ว​ ​โอกาสที่​เรา​จะ​เป็น​โรคแทรกซ้อน​ ​ซึ่ง​เป็น​สา​เหตุของการเสียชีวิตก็มีมาก​ ​เชื้อแบคที​เรีย​ทั่ว​ไป​ ​เชื้อรา​ ​หรือ​ไวรัสที่​ไม่​สามารถ​ทำ​ร่างกายเรา​ได้​ ​เมื่อร่างกายเรามีภูมิปกติ​ ​ก็​จะ​ทำ​ให้​เรา​เจ็บหนัก​ ​หรือ​อาจ​จะ​ถึง​แก่ชีวิต​ได้​ ​เพราะ​ ​เรา​ไม่​มีภูมิคุ้ม​กัน​เพียงพอ​ใน​การต่อสู้​ ​เรามาดู​กัน​ดีกว่ากว่า​ CD4 ​เท่า​ไร​และ​สามารถ​เป็น​โรคอะ​ไร​ได้​บ้าง


CD 4 = 0-500 ​วัณโรค​ ​เริม​ ​โรคเชื้อราที่ปาก​และ​ลำ​คอ​
CD 4 = 240 ​โรคผิวหนังต่างๆ
CD 4 = 190 ​โรคติดเชื้อต่างๆ​ที่ปอด​ ​และ​ดรคปอดบวม
CD 4 = 90 ​การติดเชื้อที่สมอง​
CD 4 = 75 ​โรคติดเชื้อของทางเดินอาหาร
CD 4 = <50 CMV ​ซึ่ง​ทำ​ให้​ตาบอด​ได้


​อย่างไรก็ดี​ ​การที่​เราทานอาหารที่มีประ​โยชน์​ ​ออกกำ​ลังกาย​ ​ไม่​เครียด​ ​และ​ ​หยุดการติดเชื้อของไวรัสเพิ่มก็​สามารถ​ที่​จะ​เพิ่มระดับ​ CD4 ​ของเรา​อยู่​ใน​ระดับสูง​ได้

วันอังคาร, พฤศจิกายน ๐๗, ๒๕๔๙

The Many Benefits of Green Tea Extract

he Benefits of Green Tea Extract: Anti-Aging, Anti-Cancer, Weight Control

One of the great advancements in nutrition in the twenty-first century is the scientific confirmation of the many benefits of green tea extract. Here are just a few. Green tea:

Lowers cholesterol
Slows arthritis
Prevents the growth of cancer cells
Assists weight loss

What accounts for the health benefits of green tea extract? Over 1,800 scientific studies have found that the active constituents in green tea are powerful antioxidants. These are called polyphenols (catechins) and flavonols. Epigallocatechin gallate (you can just call it EGCG) is the most powerful of these antioxidants.
Milligram for milligram, EGCG has 25 to 100 times the antioxidant power of vitamins C and E. A cup of green tea has more antioxidants than a serving of broccoli, spinach, carrots or strawberries.

These abundant antioxidants power the benefits of green tea extract. They keep DNA intact and they stabilize the membranes of cells.

These effects of green tea make it a powerful support in many health conditions. Let's look at the benefits of green tea supplements in more detail.

Green tea has been shown to lower "bad" LDL cholesterol and serum triglyceride levels.

Who would have imagined that simple green tea could be as potent as Lipitor or Zocor or Crestin with none of their side effects? Scientific studies show that middle-aged men and women in Japan who drink 2 or more cups of green tea a day almost always have normal cholesterol. Scientists have also recently reported that if you drink green tea after you eat a fatty food, less cholesterol will go into you bloodstream.

And if you have high cholesterol when you begin taking green tea supplements, your body will convert less of it into a form that clogs your arteries.

Green tea protects your joints against osteoarthritis.

This is one of the least known but most beneficial effects of green tea extract. Green tea prevents inflammation. When there is less inflammation, there is less wear and tear on your joints.

Green tea prevents the growth of cancer cells.

The EGCG in green tea prevents cancer cells from growing by binding to a specific enzyme. This health benefit of green tea is especially important in cancers of the prostate, breast, and lung.

Researchers studied two groups of men who a pre-cancerous condition of the prostate. One consumed the equivalent of 12 to 15 cups of green tea a day. One did not. One year later, 30% of the men who did not consume green tea supplements developed prostate cancer. Only 3% of the men who took green tea supplements developed cancer.

Another of the benefits of green tea extract is support for women who have breast cancer. Green tea provides chemicals that bind estrogen. This hormone is not then free to stimulate breast cancer cells.

Women who consume the greatest amount of green tea before menopause have the least severe forms of breast cancer when the disease occurs. Women who drink green tea are less likely to have recurrences of breast cancer after treatment. And most important of all, women who consume green tea are 50% less likely to develop breast cancer at all.

Another of the benefits of green tea extract is protection against lung cancer.
The Japanese have both the highest rate of smoking and the lowest rate of lung cancer in the developed world. Japanese smokers who consume a lot of green tea seem to be protected against lung cancer.

And green tea can even help you lose weight. In a clinical trial, men eating a high-fat diet were given enough green tea provide the caffeine in a single cup of coffee. Although this amount of caffeine has no effect on weight loss, when the caffeine comes from green tea, it is highly significant.

The green tea supplement boosted the number of calories burned by 4.5%. While this is just 135 calories a day, the study showed that taking green supplements could help the average man on a high-fat diet lose 18 lbs (8 kg) in a year's time. It could help the average woman on a high-fat diet lose 11 pounds (5 kg). This is without eating less or exercising more.

How Can I Take Green Tea?

The benefits of green tea extract are greatest if you take green tea supplements rather than drink green tea. A study in the December 2004 edition of the American Journal of Clinical Nutrition confirmed that green supplements get more antioxidants into your bloodstream that drinking green tea. Two capsules of green tea extract a day can provide all the benefits of 20 cups of green tea-all you need to support even difficult health conditions.

Green tea is safe and effective. Take 1 to 3 capsules of green extract every day. It is better to take green tea supplements in the morning or afternoon rather than at night. In the unlikely event of stomach upset, take with food.