วันอาทิตย์, ธันวาคม ๑๗, ๒๕๔๙

ป้องกันไข้หวัด

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงทำให้คนเป็นหวัดกันมากขึ้น รู้สึกว่าไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงไอจามขานรับกันเป็นทอดๆ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเลย ทางที่ดีเรามาหาทางป้องกันโรคหวัดกันตั้งแต่ต้นดีกว่า

อันดับแรก ล้าง มือบ่อย เพราะว่าไวรัสหวัดหรือไข้หวัดใหญ่นั้น มักจะติดต่อโดยทางตรง บางคนใช้มือปิดปากขณะจาม แล้วก็เอามือไปจับโทรศัพท์ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ หรือทำครัวต่อ ก็เป็นการพาเชื้อโรคไปยังสิ่งอื่น เชื้อโรคพวกนี้มีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วโมง บางกรณีอยู่ได้ถึงหลายสัปดาห์ พอคนอื่นมาหยิบจับสิ่งของนั้นต่อไปก็ได้รับเชื้อโรค ดังนั้น การล้างมือบ่อยๆ จึงเป็นการป้องกันหวัดได้

ข้อ 2 อย่าใช้มือปิดปากขณะจามและไอ แต่ให้ใช้กระดาษทิชชูรองไว้อีกชั้นหนึ่ง เพราะถ้าเราใช้มือเปล่าปิดปากขณะไอจาม เชื้อโรคก็ยังจะติดอยู่ที่มือ และส่งผ่านเชื้อโรคต่อไปให้คนอื่นได้ ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าจะจามหรือไอก็ให้รีบดึงทิชชูมาไว้ใกล้ตัว ใช้เสร็จแล้วทิ้งทันที แต่ถ้าหากระดาษทิชชูไม่ทันก็ต้องหันหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีคนอยู่ใกล้

ข้อ 3 อย่าใช้มือสัมผัสใบหน้า เนื่องจากไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่นั้นจะเข้าสู่ร่างกายคนเราผ่านทางตา จมูกหรือปาก การใช้มือจับใบหน้าจึงเป็นหนทางหลักที่คนเราจะติดหวัดกัน

ข้อ 4 ดื่มน้ำมากๆ เขาให้คำอธิบายว่า การดื่มน้ำจะช่วยชะล้างระบบในร่างกายให้สะอาด ขับพิษ ให้ความชุ่มชื่น โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำให้ได้ วันละ 8 แก้ว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้รับน้ำเพียงพอหรือยัง ก็ให้สังเกตสีของปัสสาวะถ้าสีใสก็แสดงว่าใช้ได้ แต่ถ้าสีเหลืองเข้มแสดงว่ายังต้องการน้ำอีกมาก

ข้อ 5 เข้าเซาน่า แม้นักวิจัยจะยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนนักว่าเซาน่าป้องกันหวัดได้อย่างไร แต่ การศึกษาของเยอรมันเมื่อปี 2532 พบว่า คนที่อบไอน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เซาน่าถึงครึ่งหนึ่ง พอจะอธิบายได้ว่าการหายใจเอาอากาศร้อนเข้าไปทำให้ไวรัสหวัดทนไม่ได้

ข้อ 6 อยู่ในที่มีอากาศสดชื่น การได้รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็น

วันจันทร์, ธันวาคม ๐๔, ๒๕๔๙

ท่านอนให้หัวใจเต้นสะดวก

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปนิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้น คอควรอยู่ในแนวเดียว กันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่ สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย

นพ.ชนินทร์กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น

วันเสาร์, ธันวาคม ๐๒, ๒๕๔๙

วัคซีนป้องกันเอดส์

สธ.เผย โครงการวิจัยทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคนไทยใหญ่ที่สุดโลก ที่ศึกษาใน จ.ระยอง ชลบุรี คืบหน้ามาก คนไทยอาจโชคดีก่อนใครที่จะได้วัคซีนใช้ ระบุ ขณะนี้ฉีดอาสาสมัครกว่า 14,000 คนครบแล้ว หลังฉีดไม่มีอาการข้างเคียง ทุกคนสบายดี อาสาสมัครรุ่นแรกจะครบกำหนดติดตามผล 3 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2550 นี้ วันนี้ (1 ธ.ค.) ที่ลานหน้าโรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภชัย ฤกษ์งาม ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 กรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิดงานรวมพลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ที่จังหวัดระยอง ครั้งที่ 2 เนื่องในวันเอดส์โลก โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทหารบก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำโล่แสดงความขอบคุณชาวจังหวัดระยอง ที่ร่วมมือในการวิจัยในชุมชน และสนับสนุนให้บุตรหลานเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคน จำนวน 8,181 คน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นตัวแทน รับมอบ นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลก และโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ทุกประเทศทั่วโลก ร่วมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ภายใต้คำขวัญ “เอดส์หยุดได้...ร่วมใจสัญญา” (Stop Aids, Keep the promise) เพื่อหยุดยั้งและลดผลกระทบจากโรคเอดส์ และให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการรักษาและป้องกันเอดส์อย่างทั่วถึงภายในปี 2553 โดยโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ คาดว่า ในปี 2549 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์กว่า 39 ล้านคน เสียชีวิตเกือบ 3 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 11,000 คน ในประเทศไทยคาดว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมมาตั้งแต่ พ.ศ.2527 จนถึงขณะนี้รวม 1 ล้านกว่าคน เสียชีวิตแล้ว 85,456 คน ยังมีชีวิตอยู่ 306,066 คน สาเหตุหลักของการติดเชื้อกว่าร้อยละ 80 มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้งนี้แนวโน้มของการป่วยหลังติดเชื้อและเสียชีวิตจะน้อยลง เนื่องจากผู้ติดเชื้อได้รับบริการการดูแลสุขภาพ และได้รับยาต้านไวรัสเอดส์แล้ว 1 แสนกว่าคน ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ในปี 2549 ซึ่งมีจำนวน 5,786 คน น้อยกว่าปี พ.ศ.2544 ถึง 4 เท่าตัว ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ในปี พ.ศ.2549 มีทั้งหมด 952 คน น้อยกว่าปี พ.ศ.2544 ถึง 8 เท่าตัว และในปี พ.ศ.2550 นี้ จะเพิ่มความเข้มข้นในการลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยเน้นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เยาวชน ตั้งเป้าให้ได้ร้อยละ 80 โดยจะลดการติดเชื้อเอดส์รายใหม่ลงให้เหลือปีละไม่เกิน 5,300 คน ภายในปี พ.ศ.2553 นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า อีกมาตรการหนึ่งที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการขณะนี้ คือ การวิจัยทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในคน ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ศึกษาในชุมชนที่จังหวัดระยอง และชลบุรี ในอาสาสมัครจำนวนถึง 16,000 คน ซึ่งจัดว่าเป็นการทดลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มในปลายปี พ.ศ.2546 และจะสิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ.2552 เพื่อดูว่าจะได้ผลป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้หรือไม่ เป็นการหาคำตอบให้ทั่วโลก ซึ่งได้พยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันเอดส์มากว่า 20 ปี รวมกว่า 30 ชนิด จากทั้งหมด 33 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นการศึกษาในไทย 12 โครงการ แต่ยังไม่มีประเทศใดสำเร็จ โดยประเทศไทยได้ศึกษาวัคซีนที่ใช้กับเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อี ที่พบในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบร้อยละ 3 ของสายพันธุ์ที่พบทั่วโลก ขณะที่สายพันธุ์ที่พบในประเทศผู้ผลิตวัคซีนเป็นสายพันธุ์บี จึงจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการวิจัยและพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมกับคนไทย การใช้วัคซีนเอดส์จะเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยเสริมการรณรงค์ทางด้านสังคมและพฤติกรรม ช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศชาติในการป้องกัน และการรักษาพยาบาลโรคเอดส์ได้ปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ด้าน นายแพทย์ศุภชัย กล่าวว่า โครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ที่จังหวัดระยอง และชลบุรีนั้น กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล และกรมการแพทย์ทหารบก ศึกษาในกลุ่มประชาชนที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี อายุระหว่าง 18-30 ปี ซึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 16,402 คน อยู่ในจังหวัดระยอง 8,181 คน ที่เหลืออีก 8,221 คน อยู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้วัคซีนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ แอลแวค (ALVAC) และ เอดส์แวค (AIDS VAX) เป็นวัคซีนปูพื้นและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย วัคซีนแอลแวค ฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อฆ่าเชื้อในเซลล์ ส่วนวัคซีนเอดส์แวค ฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสร้างถูมิคุ้มกันในเลือด เพื่อทำลายเชื้อไวรัสก่อนเข้าสูเซลล์ การทดลองจะแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งจะได้รับวัคซีนเอดส์ทดลอง อีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับสารเลียนแบบวัคซีน จะได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดคนละ 6 เข็ม เป็นเวลา 6 เดือน อาสาสมัครรายแรกเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2546 ขณะนี้มีอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนครบทุกเข็มเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา จำนวนกว่า 14,000 คน หลังฉีดทุกคนสบายดี ไม่มีอาการข้างเคียงร้ายแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ กำลังอยู่ระหว่างการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นระยะทุก 6 เดือน โดยอาสาสมัครรุ่นแรกจะครบระยะติดตามผล 3 ปี ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2550 และรุ่นสุดท้ายจะครบ 3 ปี ใน พ.ศ.2552 หลังจากนั้น จะใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูล ประสิทธิผลของวัคซีนประมาณ 1 ปี และจะสรุปผลการศึกษาได้ภายในปี พ.ศ.2552 หากวัคซีนที่ทดลอง ประสบผลสำเร็จในการป้องกันโรค ไทยจะเป็นประเทศแรกในโลกที่จะมีวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ใช้ นายแพทย์ศุภชัย กล่าวอีกว่า จากการติดตามผลหลังฉีด อาสาสมัครทุกคนสบายดี และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากอาสาสมัคร ปฏิบัติตัวตามข้อแนะนำ โดยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติแต่ต้องมีแบบปลอดภัย และผลดีจากการศึกษาครั้งนี้ พบว่า อาสาสมัครมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอดส์น้อยลง ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้สารเสพติด

วันศุกร์, ธันวาคม ๐๑, ๒๕๔๙

วันเอดส์โลก

วานนี้ (30 พ.ย.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์พอยท์ กรุงเทพฯ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดกิจกรรมการรณรงค์วันรวมใจต้านภัยเอดส์ ปี 2549 เนื่องในวันเอดส์โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ในปีนี้องค์การอนามัยโลกและโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “เอดส์หยุดได้...ร่วมใจรักษาสัญญา” (Stop AIDS Keep the Promise) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนเกิดความตื่นตัว มีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ และมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย โดยมีเยาวชนเข้าร่วมงานประมาณ 2,000 คน

นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ยังคงทวีปัญหาความรุนแรงในทุกภูมิภาคของโลก องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ในปี 2549 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์เกือบ 3 ล้านคน ยังมีผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่กว่า 39 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปี 2549 มากถึง 4 ล้านกว่าคน เฉลี่ยวันละ 11,000 คน นาทีละเกือบ 8 คน ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้ ร้อยละ 40 เป็นเยาวชน/วัยหนุ่มสาวอายุ 15 – 24 ปี และเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 530,000 คน

สำหรับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2527 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2549 มีผู้ติดเชื้อเอดส์ 1 ล้านกว่าคน เกือบครึ่งเสียชีวิตแล้ว ยังคงมีผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ต้องได้รับการดูแลรักษา 556,848 คน โดยในปี 2549 นี้มีรายงาน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15,174 คน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 40 คน เฉลี่ยนาทีละเกือบ 2 คน ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เหยื่อเอดส์รายใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชนวัยรุ่น ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และมากขึ้น และแนวโน้มจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยลงเรื่อย ๆ น่าห่วงมาก โดยพบว่า กลางปี 2549 อัตราการติดเชื้อเอดส์ในหญิงตั้งครรภ์อายุ 15 – 19 ปี ร้อยละ 0.44 ในขณะนี้ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบผู้ติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มนี้เลย เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงาน สังคมต้องช่วยกันแก้ไขเป็นการด่วน

ด้านนพ.สมชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดยุทธศาสตร์ป้องกันแก้ไขการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โดยตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากปี 2549 ลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2553 เหลือไม่เกิน 5,300 คน โดยส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักถึงร้อยละ 80 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ติดเชื้อ ชายรักชาย ผู้ให้และผู้ใช้บริการทางเพศ กลุ่มวัยรุ่น และลดการติดเชื้อจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด พัฒนาระบบดูแลรักษาพยาบาล โดยขยายความครอบคลุมการให้ยาต้านไวรัสเอดส์ให้ทั่วถึง และดูแลด้านสังคมแก่ครอบครัวผู้ป่วย ทั้งด้านอาชีพและสวัสดิการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 80 ของผู้ได้รับผลกระทบจากเอดส์